วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2555

ท่องเม็กซิโก โคคิวบา

ตั้งชื่อเรื่องโก้มากเพราะทริปนี้ได้ไปทั้งสองประเทศ เป็นอีกครั้งที่ชอบมาก เรากับเพื่อนสรุปว่าเราจะเที่ยวในเม็กซิโกซิตี้กันเอง และหาทัวร์ไปเที่ยวนอกเมืองและจบทริปที่แคนคูน เพื่อบินไปคิวบาพร้อมเพื่อน ๆ อีกกลุ่ม
และการเดินทางก็เริ่มขึ้น บินด้วย Air France ที่นั่งเล็กไปหน่อย หลับ ๆ ตื่น ๆ พอไหว เช้ามาก็ถึงปารีส ต่อเครื่องไปเม็กซิโก  CDG ใหญ่ขนาดที่ต้องใช้ shuttle bus หรือนั่ง Train ไป เราไป Train _Refresh ตัวเอง แล้วรอบินไปเม็กซิโก รอบนี้ซิ ถึงเม็กค่ำแถมเป็นวันเสาร์ ที่ต้องหาทางไปโรงแรมเอง ปัญหาที่เจอคือการเดินทางที่มีกระเป๋าลากสองใบ ไม่สะดวกเลยที่จะลากสองกระเป๋า แล้วขึ้นบันไดเลื่อน สัญญาว่าจะไม่ลากกระเป๋าสองใบอีกแล้ว
ทั้งอาศัยข้อมูลจาก Google ท้ั้งจากข้อมูลที่โรงแรมให้มา ไปที่พักไม่ง่ายเลย ต้องผลัดกันเฝ้ากระเป๋าเดินหาโรงแรม สุดท้ายต้องใช้คนเม็กฯ ช่วยโทรหาที่ตั้ง และพาไปส่ง เสียเวลาไปเป็นชั่วโมงกว่าจะหาที่พักเจอ
ที่พักก็โอนะ มีอาหารเช้า อาหารเย็นให้ ถึงจะไม่โก้ แต่อยูได้ ราคาก็ดี มี Net เล่นในห้องได้
วันเรกก็เจอดี เช้ามาน้ำไม่ไหล ต้องไปใช้บริการห้องน้ำรวมไปพลาง สาย ๆ หน่อยไหลตามปกติ วันหลังเลยต้องสำรองน้ำฉุกเฉินไว้ แต่ไม่มีปัญหาอีกเลย
วันนี้ไปมรดกโลกที่ โซชิมิโคล่ หลังจากสอบถามเส้นทางได้แล้ว ระหว่างทางก็ถามไปเรื่อย ๆ ต่อรถไฟสองต่อ ถึงเมืองโซชิมิโคล่ พยายามหาจุดสังเกตุและเดินไปท่าเรือ ไม่หลงแฮะ เพราะออกจากสถาานีรถไฟก็เดินตรงอย่างเดียวเลย เที่ยวดูสภาพคลอง ถ่ายรูปเล่น ไม่ได้นั่งเรือ เดินเล่นจนเจอสิ่งก่อสร้างสูงก็เดินไป เจอตลาดอย่างดีเลย ถ่ายรูปกันสนุก วันนี้กินข้าวเที่ยงร้านอาหารจีน สั่งอาหารแล้วร้าน wave ให้ กินได้ทุกอย่างอิ่มสบายท้องไป นั่งรถเข้าเมือง

วันนี้เที่ยวเตโอติอัวกัน เหมื่อนเดิมถามทาง มั่นใจแล้วไป Metro ต่อ Bus เหมือนขนส่งเรา ดู Pyramid of sun & Moon  ระหว่างทางแวะกอนกลางวันก่อน แล้วปีน Pyramid of Moon ที่ไม่สูงนัก ปีนเท่าที่ปีนได้อีกหลาย Pyramid ในขณะที่เพื่อนไปก่อนแล้ว ถึง Pyramid of sun ทั้งเกรงใจเพื่อน เกรงใจตัวเอง เพราะสงมาก แถมปวดท้องนิด ๆ ด้วย เลยไม่ได้ปีนได้แต่เดินเล่นรอบ ๆ ฐาน เดินไป Museo ก่อนออกแวะไป Citadel ที่ควรจะแวะตั้งแค่แรกแต่เราเลี้ยวซ้ายไปเที่ยวดู Pyramid ซะก่อน

วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

20110305 ทริปวังสวย กล้วยไม้งาม_&สิงห์บุรี

เสร็จธุระเช้าแล้ว เตรียมกระเป๋าไปนครปฐมเที่ยว "พระราชวังสวย กล้วยไม้งาม" กล้วยไม้เยอะมาก พื้นที่จัดก็ไม่มากมายนัก แต่ก็สวยดี เสียแต่อากาศร้อนไปหน่อย














และนี่เป็นอีกครั้ง ที่รู้สึกว่า การดูด้วยตา ให้ความรู้สึก สบาย สดชื่นกว่า รูปที่ถ่ายมา แต่ถ้าไม่ถ่าย ก็คงจำไม่ได้ละเอียดแบบนี้ เพราะฉะนั้น รับรู้ด้วยสายตา แล้วก็ถ่ายรูปไปด้วย และไม่ควรถ่ายมาก ดูให้มากดีกว่า









ออกจากนครปฐม ตรงไปสิงห์บุรี สถานีแรกเที่ยววัดหน้าพระธาตุ ที่อยู่แทบจะติดกันเลยกับวัดพระนอนจักรสีห์  เหมือนเดิมต้องถอยรถกลับเข้าซอยเล็ก ๆ ที่ไม่มีชื่อสถานที่ท่องเที่ยว สภาพพระปรางค์สวย มีการบูรณะจนเกือบหมดทั้งองค์ แต่ก็ถือว่าไม่ผิดหวังที่ตั้งใจไป


อีกแห่งที่ได้ไปคือวัดโพธิ์เก้าต้น บางระจัน ได้ไปกราบสักการะดวงวิญญาณของวีรชนชาวบ้านบางระจัน ที่ทำสงครามสู้กับพม่า เที่ยวลึกไปถึงสุดทางที่ชาวบ้านตั้งแนวกำแพงดินสู้กับพม่า

ไปเที่ยวอนุสาวรีย์วีรชนบางระจัน


เข้าที่พักที่บ้านบุศรินทร์ หลงทางนิดหน่อย ต้องโทรถามสองรอบถึงจะเข้าที่พักได้ ห้องพักดี สบายมากเลย กินข้าวเย็นที่รำพึง แล้วกลับมานอนท่องไพรเล่ม 45-46 ต่อ
เช้าหาที่กินข้าวในเมือง หาไม่เจอ ไปเจอลำน้ำแม่น้ำน้อยก่อนเลยได้รูปนี้มา

กินกลางวันที่วัดที่ไปร่วมพิธีเททองพระประธาน แล้วไปดูหนังใหญ่วัดสว่างอารมณ์ ที่นี่ถ้ามีการแสดง ต้องติดต่อล่วงหน้า เป็นคณะใหญ่ ๆ เลย ไม่มีการแสดงแบบที่วัดขนอน ที่เราคงไม่มีโอกาสได้ไปดูการแสดงที่วัดสว่างอารมณ์ เพราะไม่ได้แจ้งว่าถ้ามีการแสดงช่วยแจ้งด้วย เราจะไปขอชมด้วย เลยได้แต่รูปมา ที่นี่มีตัวหนังแกะใหม่หลายตัวมาก การจัดแสดงก็ใช้ได้ เสียแต่เราอดดูการแสดงของเด็ก ๆ











หาทางไปพิพิธภัณฑ์อินทร์บุรี ไปจนถึงแล้ว แต่ปรากฎว่าปิดประตู เราเข้าไปเที่ยวชมไม่ได้
แวะเที่ยววัดประชด มีพระยืนสององค์ หลวงพ่อสิน หลวงพ่อทรัพย์ ที่นี่มีตรวจพบแหล่งโบราณด้วย อยู่ในระหว่างการขุด ที่วัดมีบริการน้ำสมุนไพรท้องถิ่น น้ำพุทราหอมมาก เรายังมาทำกินที่บ้านด้วย




กลับไปร่วมงานต่อ เสร็จพิธีช่วยอุดหนุนชาวบ้านที่นำผลผลิตท้องถิ่นมาจำหน่าย ก็กลับกรุงเทพฯ สบายไป คืนนี้ท่องไพรครบ 48 เล่มพอดี
สรุปได้ว่าทริปนี้ ไปธุระ แล้วได้เที่ยวด้วย ไม่ซ้ำกับที่ไปมาแล้ว ทริปนี้ที่สิงห์บุรี ชอบวัดหน้าพระธาตุ ไม่น่าเชื่อว่าในอดีตกาล สิงห์บุรีจะยิ่งใหญ่ขนาดที่เห็นซากวัดใหญ่บึ้ม ๆ ได้ขนาดนี้

วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เพชรพระอุมา 8

B14 คืนนั้นเป็นอีกครั้งที่รพินทร์นอนแล้วมีคนละเมอมาวุ่นวายกับเขา  แต่คืนนี้ ด้วยคำที่ละเมอออกมาทำให้รพินทร์แน่ใจว่าสิ่งที่เขาคิดไว้ไม่น่ามีอะไรผิดพลาด รพินทร์ปลุกไชยยันต์ให้ตื่นขึ้นมาแบบเขิน ๆ เพราะรพินทร์บอกว่าเขารู้ว่ากำลังละเมออะไรอยู่ ไชยันต์เขิน นอนไม่หลับก็ เลยถามเรื่องมาเรียขึ้นมาว่าเคยเป็นเมียรพินทร์หรือเปล่า รพินทร์ตอบไปตามตรงว่าไม่เคย แต่เล่าเรื่องที่เกิดคืนนั้นให้ฟังด้วย ไชยันต์ชวนรพินทร์ปล้ำเมย์ รพินทร์ไม่เอาด้วย
เมื่อถึงยามของมาเรีย มาเรียไปคุยกับส่างปา และบอกว่าให้ไปด้วยกันอย่าคิดอะไรมาก มาเรียเห็นตาคำแอบฟังอยู่รู้ก็หาว่ารพินทร์ให้มาแอบฟัง ตาคำบอกว่าไม่ได้แอบฟังแต่มาถ่ายทุกข์ มาเรียให้ตาคำนวด เพราะตาคำอยากนวดมาเรีย สุดท้ายตาคำโดนมาเรียถีบออกมา พรานอื่น ๆ เห็นเหตุการณ์หัวเราะกันซะไม่มีดี หลังจากหลับไปนาน ดารินตื่นขึ้นมาและจะออกไปนอกค่าย มาเรียขวางไว้ไม่ให้ไป สองสาวต่อสู้กันจนคนอื่นตื่นมา และมาทราบภายหลังว่าดารินจะออกไปดูแงซาย และรู้ว่าถ้าขออนุญาตจะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไป รพินทร์ขอให้ออกไปดูตอนเช้า แต่พอเช้ามาปรากฎว่าแงซายอยู่ที่โคนต้นไม้ที่ดารินเห็นในความฝันจริง นอกจากเรื่องนี้ดารินฝันเรื่องนิทรานคร และสามารถเล่าให้ทุกคนฟังได้อย่างละเอียด ตั้งแต่บริวารในนิทรานครโดนสาป ไปขอความช่วยเหลือจากชาวคณะ จนถึงขุนพลวรมันต์ขอใช้ร่างแงซายขโมยแผนที่ เพื่อให้มั่นใจว่าคณะจะออกตามมาที่นิทรานครเพื่อปลดปล่อยพวกเขาให้พ้นเวร และบอกว่าตอนนี้คืนร่างแงซายให้แล้วที่ถ้ำที่ระเบิดเสือ ทุกคนหลอกคุยถ่วงเวลาให้เช้าเพื่อออกตามหาแงซายในตำแหน่งที่ดารินบอก และเจอจริง แต่นอกเหนือจากนั้นมีเสือสองตัวกำลังแย่งเป็นเจ้าของแงซายอีกด้วยเหมือนคนจะตายเพราะโดนแมงมุมดำกัด ดารินพยายามจะรักษา แต่รพินทร์เตือนว่ารู้แน่หรือยังว่าเป็นอะไร เกรงว่าจะให้ยาผิด และให้ตรวจดูสภาพร่างกายก่อน พอบุญคำเข้าไปตรวจเจอรอยเจาะ รู้ว่าเป็นแมงมุมดำ รพินทร์ บอกให้ดารินพยายามทำให้หัวใจแงซายเต้นไว้ และหามแงซายกลับที่พัก ในขณะที่ดารินไม่เข้าใจว่ารพินทร์ทำอะไรก็ด่าว่ารพินทร์ ร้อนถึงเชษฐาต้องมาเตือนสติน้องสาวให้ฟังรพินทร์ บุญคำมาถึงเห็นส่างปาสูบกัญชาทองไม่รู้ร้อนก็เตะเข้าให้ป้าบใหญ่ ที่นี้แทบจะเป็นศึกระหว่างสองสาวจ้าวนายส่างปากับบุญคำซะแล้ว เพราะบุญคำเองก็ร้อนใจ แต่รพินทร์ร้องบอกให้ส่างปาถอนพิษออก ระหว่างนั้นส่างปาไปจับหัวแม่ตีนแงซายและบอกว่าแงซายตายแล้ว ร้อนถึงตาคำด่าซะอีกชุด แต่ส่างปาบอกว่าตายได้ ส่างปาก็ทำให้ฟื้นได้ พร้อมกับออกไปหาตัวแมงมุมดำเพื่อนำมารีดพิษเป็นกระษัยกับแท่งยา ที่มีติดตัว และในที่สุดแงซายรอดชีวิตมาได้ ที่เหลือเป็นความรับผิดชอบของหมอดารินที่จะช่วยฟื้นฟูคนเจ็บให้กลับมามีแรงตามเดิม
คืนนั้นดารินไปขอโทษที่พูดไม่ดีกับรพินทร์ จนรพินทร์แทบจะคุกเข่ากอดดารินแต่ทำไม่ได้เพราะอยู่ต่อหน้าคนเยอะ  พวกพรานไปหาอาหารกันบางส่วน มีส่วนที่เหลือยังไม่กลับมา ดารินถามหารพินทร์ก็ว่าเดี๋ยวก็กลับ แต่ปรากฎว่าคนที่หายไปนานวิ่งตาแหกกลับมาบอกว่าเจอช้างประหลาดมีงางอกออกจากปาก ตอนนั้นส่างปาหายไปในโขลงสัตว์ประหลาด มาเรียจะออกตามลูกน้องแต่ล๊อกตัวไว้ ทั้งหมดรีบตามไปช่วยสามารถสังหารช้างประหลาดได้ 4 ตัว และด้วยความสามารถของคะหยิ่นที่เลื้อยได้ สามารถเข้าไปช่วยส่างปาที่หลบเข้าไปอยู่รูมด แต่ออกมาไม่ได้ จนสำเร็จ คืนนั้นไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น รพินทร์ว่างก็นำลายแทงที่ได้คืนจากแงซายมาดู และวิตกว่าลายแทงระบุวันว่าต้องไปถึงเนินพระจันทร์ให้ทันขึ้นห้าค่ำเดือนสิบสอง ซึ่งปีเดียวจะมีแค่วันเดียว ต้องไปให้ทัน ถ้าไม่ทันอาจจะไปไม่ถึงขุมเพชรพระอุมา ซึ่งมีปฎิทินติดมาและมักจะบันทึกประจำวันไว้ตรวจสอบดูเห็นว่าเหลือเวลาอีก     วันที่จะต้องไปให้ถึงเนินพระจันทร์ ซึ่งดารินพอจะแปลความได้ว่า ตามวันดังกล่าวพระอาทิตย์จะเป็นรูปเสี้ยว ซึ่งตอนนั้นน่าจะมองเห็นทางเดินที่จะนำไปตามแผนที่ มาเรียเห็นแผนที่แล้วเสนอว่าอาจมีปรากฎการณ์ธรรมชาติปรากฏเพราะว่าจะต้องเดินขึ้นที่สูงอาจเจอหิมะ นับเป็นการหารือ แสดงความเห็นเพื่ออ่านลายแทงร่วมกันของคณะ
คืนนี้ระหว่างที่รพินทร์อยู่เวร แงซายที่นอนพักมานานแล้วตื่นขึ้นมาคุยกับรพินทร์ คุยไปถึงทิศที่จะเดินทางและถามรพินทร์ว่าจะเดินทางไปถึงเนินพระจันทร์ทันวันห้าค่ำเดือนสิบสองหรือไม่ รพินทร์คิดว่าดารินไม่ควรบอกแผนการเดินทางให้แงซายรู้ละเอียดขนาดนี้เลย เพราะเขาเองไม่ไว้ใจแงซาย ในขณะที่แงซายเองบอกว่าถ้าไปไม่ทัน ต้องรอไปอีกปีถึงจะไปได้ แล้วก็เดินกลับไป รพินทร์หงุดหงิดใจอีกครั้ง แต่แล้วอดประหลาดใจไม่ได้ที่เห็นภาพ sketch เนินพระจันทร์ และเขาพระศิวะที่แงซายเขียนด้วยถ่านที่พื้น เช้าวันต่อมา หลังจากพักผ่อนกันได้อย่างเต็มที่ทุกคนทะยอยไปล้างหน้าล้างตากันอย่างอารมณ์ดี เว้นแต่รพินทร์ที่ล้างหน้าก่อนใครแล้ว พอมีเวลาก็ปิดปลาสเตอร์ยาตามแผลที่มีอยู่เกือบทั่วตัว ดารินเปรยกับเพื่อน ๆ ว่าวันนี้ดูพรานใหญ่แปลก ๆ แต่ไชยยันต์ มาเรียบอกว่าไม่มีอะไรหรอก เพราะเหตุการณ์ปกติดีก็เลยทำหน้าแบบนั้น ทุกคนขึ้นจากน้ำหมดยกเว้นมาเรียนั่งแช่เท้าเล่น พักใหญ่แงซายก็มาตาม มาเรียเพิ่งมีโอกาสมองแงซายตรง ๆ วันนี้ก็รู้สึกพอใจ คุยไปคุยมากับได้รายละเอียดชีวิตส่วนตัวของแงซายมากขนาดว่าจบ ป.ตรีจากมหาวิทยาลัยบอมเบย์ ด้านอักษรศาสตร์ และต้องกลับถิ่นเกิดตามที่พระธุดงค์ที่เคยเลี้ยงได้บอกเขาไว้ ทำให้เขามาหาทางไป แต่ครั้งแรกตามไปไม่ทัน ป่วยเสียก่อน พอทราบว่าครั้งนี้คณะของเชษฐาจะไปในจุดที่เขาต้องการไปก็มาสมัคร โดยไม่คิดว่าวิชาที่จบมาจะเป็นประโยชน์อะไรต่อตำแหน่งงานที่เขามาสมัคร ทำให้ไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้คณะนายจ้างทราบ และไม่ให้มาเรียบอกเรื่องนี้กับใคร เพราะจะไม่เกิดประโยชน์ซ้ำยังจะทำให้เกิดความหวาดระแวงอีก มาเรียไม่ติดใจอะไรแต่แปลกใจในชาติกำเนิดและประวัติการศึกษาของแงซายที่ยอมตัวมาเป็นลูกหาบ ขณะจะขึ้นจากน้ำมาเรียทำมารยาเหมือนจะล้มทำให้แงซายต้องเข้าช่วย แต่แงซายไหวตัวก่อนเลยบอกว่าส่างปากำลังมา มาเรียไม่อยากให้คนของตัวเห็นสิ่งไม่ดี มารู้ทีหลังว่าโดนหลอกก็ไม่ว่าไร
ดารินหาทางพูดดีกับรพินทร์ แต่รพินทร์อารมณ์ไม่ดีอยู่เรื่องที่เข้าใจผิดก็ต่อว่าดารินว่าไม่ควรบอกแผนการเดินทางละเอียดให้แงซายรู้ ขนาดพรานของเขา เขายังไม่บอกเลย แถมยังต่อว่าหาว่าผู้หญิงพอรู้เรื่องอะไรก็เก็บความลับไม่อยู่ แค่นี้เองดารินก็เลือดขึ้นหน้า ร้องกรีด ๆ จนทุกคนตกใจว่าเกิดอะไรขึ้นพอพี่ชายมาก็ฟ้องว่ารพินทร์มาหาว่าเธอบอกแผนการเดินทางให้แงซายรู้โดยที่เธอไม่รู้เรื่องเลย และถามกันว่าทั่วแต่ก็ทราบว่าไม่มีใครบอกแงซายเลยแม้แต่มาเรีย เมย์เสนอว่าให้เรียกเจ้าตัวมาถามให้รู้เรื่อง พอแงซายก็งงว่าเกิดอะไรขึ้น ขณะเดียวกันเมย์ไปยุดารินให้ตบรพินทร์ ดารินมีแต่จะตบเมย์ซะมากที่ยุไม่เข้าเรื่อง เมื่อแงซายมาตลกขึ้นก่อนตอบว่า แงซายต้องตอบว่าพระธุดงค์มาเข้าฝันบอกว่า....แค่นั้นทุกคนก็หัวเราะครืน แม้แต่ดารินเพราะแงซายพูดแบบนี้มาตลอด รพินทร์รู้ตัวก็ขอโทษดาริน ว่าตัวเองเข้าใจผิด แงซายบอกว่าไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองฝันจะไปตรงกับแผนที่ เพราะทุกอย่างเขาพูดตามความฝันที่เห็น  สุดท้ายดารินไล่ให้รพินทร์เข้าป่าไป เพราะพาลไม่ยอมรับว่าตัวเองผิด
เช้าวันนี้หลังจากมีเรื่องจุกจิกให้อารมณ์เสียกันไป พรานใหญ่ก็หลบหน้าเจ้านาย ไปสั่งงาน เตรียมการกับลูกน้อง แต่พอเดินเฉียดไปทางเมย์ที่ส่างปานวดคลึงอยู่ ก็โดนแซวว่าความรักชักไม่สดใส แต่เขาไม่สนใจแล้ว
ดารินกลับมาทบทวนว่าพูดว่ารพินทร์แรงเกินไป อยากไปขอโทษแต่เมินเสียเถอะกลัวรพินทร์จะได้ใจ จังหวะนั้นเองก็เห็นรพินทร์เดินหิ้วพวงปลามา อยากเข้าไปทัก แต่ทำเป็นเฉย เดินสวนไปเฉย  ๆ แต่ปรากฏว่ารพินทร์จับข้อมือไว้ ดารินได้แต่ร้องว่าถือดีไงมาจับมือเธอ ตอนนั้นรพินทร์อารมณ์ดีแล้ว ล้อว่าหายเข้าป่าไปหาปลามาให้กิน น่าจะดีใจ ทั้งสองคนมีโอกาสอยู่ด้วยกันอีกครั้ง แต่ปลาพวงที่ขอมาจากแงซายก็โดนแงซายเอาคืนอย่างจะบอกว่าทำอะไรกันรู้นะ ดารินได้แต่เอ็นดูในการกระทำของแงซายไม่เห็นว่าเป็นเรื่องร้ายแรงอะไร แถมบอกว่ารพินทร์ต้องดูแลซซดี ๆ ไม่งั้นแงซายอาจไปฟ้องว่ารพินทร์จูบเจ้านายให้เชษฐากับฆ่าพรานเสียเมื่อไรก็ได้ บ่ายวันนั้นหลังจากพักผ่อนอารมณ์ดีกันแล้ว เชษฐาชวนรพินทร์ บอกว่าดารินกับอยากเห็นซากช้างโบราณที่ยิงไว้ ดารินแกล้งยั่วรพินทร์ขอให้แงซายไปด้วย ภาพที่ทุกคนเห็นน่าตกใจเพราะซากช้างโบราณที่ตาย โดนตัวอะไรไม่รู้ มากินเนื้อเสียเกือบหมด และเจ้าตัวที่มากินเนื้อก็ตัวสูงมากด้วย
บ่ายนั้นมาเรียชวนดารินหนีพวกผู้ชายไปอาบน้ำ พวกพรานเห็นก็บอกว่าควรตามไปเฝ้าระวังเกรงว่าจะเกิดเรื่อง เมย์ไม่รู้จะเล่นอะไรเบื่อ ๆ ก็แกล้งดาริน จนดารินต้องรีบขึ้นจากน้ำ แต่ระหว่างทางเจอบุญคำก็เลยสั่งบุญคำให้ไปอยู่เป็นเพื่อนดาริน เข้าทางตาเฒ่าพอดี เพราะชอบแอบดูนายแหม่มแก้ผ้าอาบน้ำอยู่แล้ว ส่วนรพินทร์กับแงซาย ยังหาทางตรวจพื้นที่เพราะเกรงว่าจะเป็นภัยใหญ่อีกครั้งหนึ่ง หลังจากแยกย้ายกันแล้วก็มาเจอบุญคำส่องกล้องดูมาเรียแก้ผ้าผึ่งแดดอยู่ ก็ได้แต่เตือน แต่ระหว่างนั้นเสือสองตัวย่องมาด้านหลังมาเรียโดยที่มาเรียไม่รู้ตัว สองคนช่วยกันสังหารเสือในขณะที่แงซายมาช่วยยิงเสือได้อีกตัว มาเรียตอนแรกก็ตกใจ แต่เพราะคำสั่งให้แต่งตัวให้เสร็จในสองนาที ที่มาเรียเห็นว่าแสดงอำนาจกับเธอ แลยแกล้งรพินทร์อีก กระโดดรัดคอ ตะโกนร้องภาษาพม่าว่าพรานใหญ่ปลุกปล้ำตัวเอง แถมร้องภาษาอังกฤษเรียกใครต่อใครว่าพรานใหญ่ตกมัน ปล้ำจะข่มขืนตัวเธอ อยากฆ่ามาเรีย ด่าไปก็สู้เสียงมาเรียไม่ได้ ได้แต่พูดอ่อย ๆ ว่าไม่น่าทำกับเขาแบบนี้เลย รพินทร์ไม่สนใครกลัวแต่ดารินจะมาเห็นเท่านั้น ขนาดตาคำยังงงว่าเกิดอะไรขึ้นทำไม มาถึงเป็นยังงั้น
มาเรียขอให้รพินทร์จูบเธอเท่านั้น ตอนรพินทร์จูบมาเรียที่ตัวเปลือยอยู่รัดรพินทร์ซะแน่นเลย แต่ตอนที่มาถึงนั้นมาเรียแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว เลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ส่วนตาคำงง จนรพินทร์บอกว่าเค้าโดนมาเรียปล้ำแล้วมารยาว่าโดนปล้ำต่างหาก บุญคำบอกว่าแหม่มอยากได้อะไร ยอมๆ ไปน่าจะจบเรื่องเหมือนกับที่แงซายก็บอกหลังเกิดเหตุการณ์ครั้งนี้ขึ้น รพินทร์ได้แต่คิดแต่สุดท้ายเขาคิดว่าเขาไม่เอาตัวไปเสี่ยงกับคนไม่ดี แต่สุดท้ายเขาคิดผิดจริง ๆ

เพชรพระอุมา 7

B13  ระหว่างที่คณะรพินทร์ตรวจดูรายละเอียดสิ่งที่พบ ผีดิบย่องเข้ามาจะทำร้ายรพินทร์ แต่ขุนพลวรมันต์ในร่างของแงซายเข้ามาสกัดไว้ได้ทันและเกิดการต่อสู้กันอย่างดุเดือด  ผีดิบไม่มีตัวเดียวแต่ตอนนี้มีหลายตัวมาก บางตัวตรงเข้ารัดร่างดารินแต่ดารินหนีออกมาได้ ดีที่ดารินใช้ไม้ทาเมนส์คอยสกัดทำให้เจ้าผีดิบผงะหงายไป ระหว่างนั้นเองคณะเชษฐาก็มาช่วย แต่ผีดิบฆ่าไม่ตาย รพินทร์นึกได้ตะโกนบอกให้ดารินถอนกริชออก ว่าแล้วยิ่งกว่านิยาย...เจ้าผีดิบทุกตัวหยุดการเคลื่อนไหวทันที รพินทร์คว้ากริชจากดารินและผวาไปหยิบคัมภีร์ออกมาถือ เมื่อทุกอย่างสงบลงทั้งคณะลองขยับโลงแก้ว ที่จริงแล้วเป็นวัสดุโปร่งใส แต่ทันทีที่มีการขยับปรากฎว่าร่างหญิงสาวสวยที่นอนในโลงแก้ว สลายกลายเป็นเถ้าในทันที ทุกคนถอยออกมา ระหว่างนั้นคณะใหญ่หลังจากสอบถามความเป็นไปกันคร่าว ๆ ก็ได้ยินเสียงปืนที่คิดว่าเป็นแน่ที่พวกเขาตามหากันอยู่ จริง ในที่สุดก็ระเบิดช่องช่วย มาเรียออกมาได้ และยังช่วยกันระเบิดปิดช่องที่เคยเป็นที่วางโลงแก้วด้วย ตอนนั้นทุกคนรับรู้ได้ว่าพันธุมวดีมาขอบคุณทุกคนที่ช่วยปลดปล่อยเธอ และบริวารเป็นอิสระ แม้ว่ากลางคืนแล้วแต่เชษฐาก็ขอให้ทุกคนเดินทางกลับที่พักที่ตั้งไว้และอยู่ไม่ไกลจากประสาทพันธุมวดีเท่าไรนัก คืนนั้นดารินเอาสร้อยเครื่องรางมาคืนให้รพินทร์ (ได้มาตอนที่ดารินโดนมันตรัยสะกดระหว่างที่หลงป่าอยู่กับรพินทร์) หลังจากตรวจที่พักเรียบร้อยตามปกติ รพินทร์จะกลับเข้านอนด้วยความเหนื่อยอ่อน ที่ต้องผจญภัยมาทั้งวัน ไม่ทันสังเกตการณ์นอนของแต่ละคน มารู้ตัวอีกทีคือเขานอนติดมาเรีย จุดที่เขานอนเคยเป็นที่นอนของมาก่อน คืนนั้นมาเรียแกล้งรพินทร์ แทบกระอักตาย เช้าขึ้นมาอีกแหละมาเรียเป็นคนปลุกเขาขึ้นมา เขายังไม่หายโกรธเลยด่าออกไป ปรากฏว่าดารินหายไปจากที่พัก โดยไม่มีอาวุธติดตัว ทั้งคณะสะกดรอยไปกลางดึกนั่นเอง และก็รู้ว่ามันตรัยเอาตัวดารินไปเพื่อเป็นข้อต่อรองขอคัมภีร์มายาวินคืน แลกกับอิสระของดาริน และนัดเวลากัน แถวนั้นหมอกจัดมาก สรุปว่าตกลงตามข้อแลกเปลี่ยนของมันตรัย ระหว่างการเตรียมการตามข้อแลกเปลี่ยนรพินทร์ให้บุญคำเอากระสุนปืนของเขาคลุกเมนส์ ทั้ง ๆ ที่บุญคำเตือนว่ายิงไม่เข้าเป้าจะมาว่าแกไม่ได้ ส่วนเชษฐาเห็นสองคนทำอะไรกัน ก็ขอร่วมวงด้วย คนอื่น ๆ ไม่ระแคะระคายอะไร ตามแผนรพินทร์ จะนำกลุ่มใหญ่ไปวางคัมภีร์ที่จุดนัดพบ และเดินส่งเสียงดังถอยออกมา ในขณะที่เชษฐา บุญคำจะหาจุดซุ่มยิง ที่รพินทร์จะตามมาสมทบทีหลัง เพราะตราบเท่าที่หมอกจัดเป็นปัญหาของพวกมนุษย์ก็น่าจะเป็นปัญหาสำหรับผีดิบด้วย  

ฝ่ายดารินคืนสติขึ้นมาในที่มืดพร้อมกับรู้ว่าถูกมัดนอนราบอยู่ ตะโกนร้องไปก็ไม่ช่วยอะไรเลยในที่สุดมันตรัยก็โผล่ออกมา พร้อมกับเรียกดารินว่าจิตรางคนางค์ ดารินถามว่าเจ้าเรียกใคร มันตรัยได้แต่บอกว่านางผู้กล้าจำความในชาติภพเก่าไม่ได้แล้ว แต่บอกว่ามีข้อตกลงแลกตัวดารินกับคัมภีร์ และมันตรัยก็หายไป ระหว่างนั้นเองพันธุมวดีก็ปรากฏร่างที่สวยงามให้ดารินเห็น มาแสดงความขอบคุณที่พวกของดารินปล่อยเธอ และบริวารเป็นอิสระ และจะให้วรมันต์ขอใช้ร่างแงซายจนกว่าจะปราบมันตรัยได้ และให้วรมันต์มาช่วยดาริน ออกจากที่ขังไปได้ ระหว่างทางวรมันต์พาไปดูจุดที่เป็นเสือหิน ที่บอกว่าให้กำจัดเสือหินเสียเพื่อไม่ให้มันตรัยใช้ร่างเสือได้ ซึ่งถึงที่พักก็จะรู้เอง และพาดารินกลับที่พักอย่างปลอดภัย
ทุกอย่างเป็นไปตามแผนแต่ปรากฎว่าพักเดียวที่ซุ่มกันอยู่พรานของรพินทร์ก็มาแจ้งให้ทราบว่าดารินกลับไปที่พักแล้ว รพินทร์กับเชษฐารีบตามพรานกลับที่พัก และให้ดารินนำทางตรงไปวางระเบิดเสือหิน ตามที่วรมันต์แนะไว้ ระหว่างทางพอดารินเริ่มงงเพราะไม่ได้ทำเครื่องหมายไว้ แงซายที่มีวิญญาณของวรมันต์ก็มาช่วยชี้ทางให้ ทั้งหมดวางระเบิดเสือสำเร็จ รอแต่ว่าเมื่อไรเสือขยับตัวเมื่อนั้น ระเบิดจะทำงานทันที สุดท้ายรพินทร์ตกลงเลือกคะหยิ่นที่มีความสามารถในการรับรู้โดยไม่ต้องมองเห็น เพียงแต่ตกลงกันว่าถ้าไม่บอกให้วิ่งห้ามวิ่งหนีกันก่อน ได้เวลาทั้งสองคนไต่คลำไปในความมืดโดยทุกคนงงว่าไปได้อย่างไร ที่คัมภีร์มายาวิน รพินทร์เข้าใกล้มากที่สุด และในที่สุดคะหยิ่นก็บอกว่ามีสองเท้าเดินเข้ามาแล้ว ลักษณะลังเล ระแวดระวัง พอถึงจุด รพินทร์ตะโกนเอามัน แล้วกระแทกพานท้ายปืนเข้าตัวผีดิบ มันตรัยคว้าคัมภีร์ได้วิ่งหนี รพินทร์ตามไปแต่ยิงไม่ถูก เชษฐากับพวกตามมาเห็นแต่คะหยิ่นเต้นหยอย ๆ เกือบโดนบุญคำเตะซะแล้ว ทั้งหมดตามรพินทร์ไป มันตรัยหนีขึ้นที่สูง รพินทร์ตามไปแต่เชษฐาตะโกนบอกให้ถอยกลับมา รพินทร์เลยถอยกลับมารวมกลุ่มนายจ้างและให้กระจายกำลังเฝ้าไว้ แต่ทนไม่ได้ กลัวมันตรัยจะเอาคัมภีร์มายาวินหายไปทางอื่นที่เขาไม่ชำนาญทาง หลายคนรู้ว่าเป็นรพินทร์แต่มาเรียฉาดไฟสาดหน้าเขา แถมขู่ว่าถ้าเป็นรพินทร์ให้ลงมาหาเธอ รพินทร์ขัดบอกว่าหยุดราคะซะที มาเรียเปิดเสื้อให้ดูรพินทร์เห็นรอยเขียวช้ำเป็นรอยนิ้วมือตนก็ตกใจว่าเขารุนแรงกับมาเรียมาก มาเรียไม่ว่าอะไรแต่ขอให้รพินทร์จูบเธอ รพินทร์ต้องทำตามที่มาเรียบอก และคิดว่าถ้าหากไม่อยู่ในสถานการณาคับขันอย่างนี้เขาอาจทำอะไรเลยเถิดไปเพราะมาเรียให้ท่าเขาอย่างมาก ทันใดนั้นก็ฉายไฟปราดมา รพินทร์เลยรีบแยกตัวไปตาล่ามันตรัย มันตรัยอยู่บนที่สูงกว่าเตรียมยกหินทุ่มรพินทร์ แต่รพินทร์หลบได้มาห้อยตัวอยู่หน้าผาอย่างน่าหวาดเสียว พอดีเชษฐายิงด้วยลูกปืนคลุกประจำเดือนจนหมดสามลูกที่เตรียมไว้ มันตรัยชะงัก เกือบตายละร่างผีดิบไปเข้าเสือหิน ทำให้ทุกคนได้ยินเสียงระเบิด เมื่อวิญญาณเข้าร่างเสือไม่ได้ก็กลับมาเข้าร่างผีดิบอีกครั้ง ร่างผีดิบโผเข้าหารพินทร์ที่อยู่ริมหน้าผา รพินทร์เบี่ยงตัวหลบ ทำให้ร่างผีดิบตกลงไปด้านล่าง คณะหามศพตายซากกลับไปเผาพร้อมคัมภีร์และกริช แต่ไม่ไหม้ จนบุญคำต้องงัดห่อใบบอนมาให้มาเรียโยนใส่กองเพลิง ทุกอย่างก็จบสิ้นลง พร้อมกับดารินเป็นลมหมดสติไปด้วย

เพชรพระอุมา 5

B10 ทุกคนเห็นอาการและจากการตรวจทางการแพทย์ของดาริน ทางการแพทย์ระบุว่าไชยยันต์เสียชีวิตแล้ว แต่ส่างปาสะกิดบอกรพินทร์ว่า ปู่บอกพ่อ พ่อบอกส่างปาว่ามีทางแก้ แต่ทุกคนเห็นว่าสายเกินไป เพราะตายแล้ว ส่างปายืนยันว่าไม่ลองนายปืนโตตายแล้วตายเลย แต่ลองตายก็ฟื้นได้ แม้จะเป็นความหวังหนึ่งในล้าน ก็ลอง ปัญหาคือตอนนี้ต้องไปเก็บพริก ยังไม่ทันออกไปเจ้ากองกอยก็ปรากฏร่างและเข้ามาดูดพิษตะขาบที่แผล จากผิวกายเข้าสีม่วง ตอนนี้ดีขึ้นทันตาเห็นเป็นขาวซีดขึ้นมา นอกจากนั้นกองกอยยังพาไปต้นพริกอีกต้นด้วย รพินทร์ให้ตาคำกับส่างปาฟันกิ่งลงมา ยังไม่ทันไร กองกอยก็ตื่นตัว ส่งสัญญาณอะไรออกมา พร้อมกับเสียงปืนที่ปางพัก รพินทร์ละล้าละลัง รีบเก็บพริก หาทางกลับที่พัก รอบนี้หลงทางอีก ต้องหาทางกลับ แถมยังโดนค้างคาวยักษ์โจมตีอีก แต่ก็กลับถึงที่พักได้ และทราบว่าที่ปางพักก็โดนค้างคาวโจมตีดูเหมือนจะมาโฉบเอาซากตะขาบไป พอยิ่งสู้ก็หนีไป เลยโจมตีกลุ่มรพินทร์ต่อ อย่างไรก็ดี ส่างปาตำพริก ผสมเนื้อตะขาบพอกแผลได้สี่รอบ ก็อาการดีขึ้นเรื่อย ๆ จนหายเป็นปลิดทิ้ง จากอาการเย็นที่แผล จนถึงร้อนจี๋เหมือนเอาน้ำร้อนมาลวกแผล
ในที่สุดไชยยันต์ก็รู้สึกตัวด้วยความพยายามหนึ่งในล้าน หรือตายแล้วก็ฟื้นตามที่ขี้ลิงส่างปาบอก ทุกคนดีใจกันมาก
การเดินทางในนรกดำยังดำเนินต่อไป คืนนี้ฝันกันใหญ่ มาเรียฝันว่า ดร.ฮอฟมันมาโบกมือให้ถอยหลัง ดารินฝันเห็นนางตะเคียนมาบอกว่าอยู่ในอันตราย ฝันว่าเห็นเขาหลงเข้าไปเมืองโบราณ เห็นโลงแก้วบรรจุผู้หญิงสวย เชษฐากับรพินทร์ มองตากันแน่ใจว่าตอนที่แงซายพึมพำออกมา ไม่รู้เรื่อง แต่ทำไมเล่าความฝันออกมาตรงกับที่แงซายพูดเลย เช้ามาเห็นรอยเท้าแงซายอีก และเห็นรอยเท้าสัตว์ร้ายน่าจะเป็นเสือ ขนาดรองเท้าใหญ่มาก มันคือรอยเท้าของเสือโคร่งดำ รพินทร์ยืนยันอีกครั้งว่าตอนนี้อยู่ในนรกดำแล้ว เพราะเป็นที่ทราบกันว่ามีเสือโคร่งดำอยู่ในนรกดำ และบอกว่าตอนนี้พวกเขาเข้ามาผิดทาง ตั้งแต่ตอนหนีตะขาบยักษ์ และจุดที่ยืนอยู่ก็คือสักดำ ซึ่งเป็นไม้ประหลาดที่มีอยู่ในนรกดำนี้ด้วย หาน้ำกินไม่ได้ บอกว่าจะกรีดเลือดให้ดารินกินแทนน้ำดารินเลยคว้ามีดจะเฉือนกระเดือกกินซะเลย ทุกคนหัวเราะหายเครียดทันที รพินทร์เริ่มสังเกตเหตุเห็นตาเขียวของมาเรียที่แสดงความพอใจแล้ว ระหว่างทางที่ไม่มีน้ำ เห็นละมั่งนอนตายมีรอยเขี้ยวสัตว์ ในตัวละมั่งไม่มีเลือดเหลือเลย คณะเห็นเหมือนกันว่าต้องเป็นฝีมือค้างคาวยักษ์ รพินทร์ที่ชอบเดินล่วงหน้านำไป รอบนี้คนข้างหลังได้ยินเสียงปืนสองนัด ตามไปเจอแต่ปืนแต่รพินทร์หายไป ตามไปเจอปืนอีกกระบอก และรพินทร์นอนแหงอยู่ที่พื้นราบ และมาทราบทีหลังว่าตามทันแงซายแล้ว แต่โดนทุ่มหัวฟาดก้อนหินหมดสติไป มาเรียช่วยนวดรพินทร์ให้อย่างสนิทสนม  ในขณะที่คืนนั้นรพินทร์ได้ยานอนหลับเพื่อให้พักผ่อนได้มากขึ้นของดาริน หลับอยู่ระหว่างมาเรียกับดาริน คืนนั้นดารินเล่าให้ฟังว่า ไม่อยากให้มีอาการมาลาเรียแทรกซ้อนขึ้นมา มาเรียนึกได้เลยบอกว่าเคยไปนั่งห้างกับรพินทร์แล้วเขามีอาการสั่น แล้วกอดเขาเป็นผ้าห่ม ทำให้ดารินรู้สึกวูบวาบบอกไม่ถูก มาเรียดูเหมือนจะอารมณ์ค้างซะแล้ว เลยเบียดตัวไปยั่วต่อ จนทนไม่ไหว คืนนั้นมาเรียจัดการให้สบายตัวไป ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะไม่คิดว่าจะเกิด เช้ามืดทุกคนถูกปลุกด้วยเสียงกองทัพกองกอยที่มาเตือนว่าค้างคาวผีมาอีกแล้ว ยิงกันไปตั้งนึง ออกเดินทางต่อ โดยไม่มีน้ำ วันนี้มาเรียหมดสติเพราะเป็นคนเมืองหนาวมาเจออากาศร้อนไม่มีน้ำ รพินทร์เลยแบ่งให้พรานสามคนไปหาน้ำ ได้น้ำมาจริงแต่เป็นน้ำที่แงซายเตรียมให้ ทุกคนได้น้ำ ปฐมพยาบาลมาเรียฟื้นแล้วเดินทางต่อ ตอนนี้ดารินสังเกตเห็นว่าผีดิบมันตรัยมาแอบดู ชาวคณะพบรอย การตามหาแหล่งน้ำดำเนินต่อไปจนพบ คะหยิ่นกำลังจะล้างหน้าเป็นคนแรกร้องจ้ากเพราะน้ำใสมากจนเห็นว่ามีศพนอนอยู่ในน้ำนั้น  ไม่ได้ใช้น้ำนั้น ออกเดินทางต่อ พอดีรพินทร์สังเกตเห็นว่าปืนคะหยิ่นหายไป เลยเดินกลับไปเอาปืนคืน สุดท้ายวิ่งป่าราบกลับมารายงานว่าซากศพหายไปแล้ว มีดารินคนเดียวเท่านั้นที่รู้แต่ไม่กล้าพูดอะไรเพราะคิดว่าไม่มีใครเชื่อเพราะใบหน้าที่เห็นแอบดูกับหน้าซากศพ และที่เพิ่งเห็นเมื่อสักครู่เป็นใบหน้าเดียวกัน ซากศพหายไป เสือโคร่งใหญ่ก็โผล่ออกมาป่วนชาวคณะ คราวนี้เป็นการเดินผ่านเถาวัลย์กินคน แต่รพินทร์ทดสอบจนรู้ว่าเถาวัลย์กินคนกลัวไฟ เลยจุดไต้เดินผ่านมาได้ทุกคน แต่เจอโครงกระดูกสองคนที่พิสูจน์โดยมาเรียได้ว่าเป็นคนยุโรปรวมอยู่ด้วยนอกจากนั้นเจอบันทึกภาษาดานิชที่มาเรียอ่านให้ทุกคนฟัง เหตุการณ์ที่บันทึกไว้ 42 ปีที่แล้ว พวกนักท่องป่า 6 คนเจอภัยร้ายเช่นเดียวกับที่เชษฐาเจอไม่ว่าจะกองกอย ตะขาบ เสือโคร่งยักษ์ เถาวัลย์กินคน การขาดน้ำแม้แต่การเจอเจ้าผีดิบเหมือนที่พวกเขาเจอวันนี้ จะเผาทำลายมัวแต่หาฟืนร่างก็หายไปแล้ว เดินทางต่อไปที่นี้รพินทร์ไปเจอหินรูปร่างประหลาดเหมือนเสือโคร่งดำ มาเรียทำเครื่องหมายด้วยยาทาเล็บที่ได้จากดาริน และนี่เองทำให้เชื่อในเวลาต่อมาว่าเจ้าหินนี่เคลื่อนที่ได้ด้วย คืนต่อมาเชษฐาปลุกรพินทร์เพราะได้ยินเสียงมโหรี ในขณะที่คุยกันอยู่มีดารินนอนอยู่คนเดียวจนต้องสะกิดปลุก ถึงได้รู้ว่าดารินก็ฝันเหมือนกัน ฝันเห็นขบวนแห่องค์หญิงที่มีรัดเกล้าอย่างเดียวกับที่ฝันเห็น นอกจากนั้นยังรู้ว่าองค์หญิงคนนี้ถูกควบคุมด้วยเวทย์มนต์ ในขณะที่เธอมีรักอยู่กับขุนศึก และที่ทุกคนตกใจคือปุโรหิตที่อยู่ในขบวนแห่ หน้าตาเหมือนกันเจ้าผีดิบ หรือนักบวชที่เห็นศพแช่น้ำตาย ระหว่างนั้นมาเรียยิงปืนออกไปหลายนัดเพราะเห็นเจ้าผีดิบอีก สักครู่ก็เป็นกลิ่นสาปเสือ ฉายไฟไปรพินทร์เห็นแต่ก้อนหินประหลาด แต่ไม่ได้คิดอะไรสักครู่ก็ได้ยินเสียงโดดผ่านน้ำ ทั้งหมดบุญคำสะกิดบอกรพินทร์ว่าทั้งเสือและผีดิบคือเจตภูต สามารถเปลี่ยนวิญญาณกันได้ รพินทร์ไม่เชื่อไปดูที่เขาที่เคยหินเสือหิน เสือหายไป และขณะเดียวกันเขาเคยวัดขนาดรอยเท้าเสือหิน กับรอยเท้าเสือที่เจอบริเวณที่พัก และบอกเชษฐาว่ามันขนาดเดียวกัน เพราะฉะนั้นเจ้าเสือนี่เคลื่อนย้ายได้แน่นอน

เพชรพระอุมา4

แต่อย่างไรก็ดีไชยยันต์ ดาริน เข้าไปช่วยได้ ในขณะที่เจ้าเกอะก็เข้าไปด้วยและสังหารหมอผีตายคามือ แต่เจ้าเกอะก็ตายด้วยในคราวนั้น  ตอนนี้มาเรียเป็นอิสระแล้วสวมวิญญาณนางเสือร้ายกว่าดาริน ฆ่าสางเขียวตายราวกับใบไม้ร่วงเพราะมีความเร็วในการบรรจุลูกปืนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตอนหลังยังได้แนะนำคนอื่น ๆ ให้ยิงได้เร็ว และต่อเนื่องเหมือนเธออีกด้วย  ด้านรพินทร์กับแงซายรับผิดชอบเรื่องการระเบิดหมู่บ้าน พอตั้งหลักได้หลังจากช่วยเจ้าคะหยิ่น และล้มกลิ้งกันไปแล้ว ก็ลงมือยิงธนูระเบิด ทำลายเทวรูปอินคา และเริ่มหนีกลับ การเข้าไปช่วยเหลือเป็นไปด้วยความลำบากเพราะเมืองที่มนุษย์กินคนอยู่ ต้องไต่สะพานลิงไปช่วย ซึ่งจะทำให้ฝ่ายศัตรูเห็นทำให้รพินทร์ต้องพาคณะ ไต่หน้าผาขึ้นไปช่วย จนถล่มด้วยระเบิดเมืองราบเป็นหน้ากลอง แต่ตัวลูกของมนุษย์กินคน ที่รพินทร์จับได้ และหนีไปได้เพราะความประมาทของลูกทีม มาดักโจมตีตอนที่พวกรพินทร์จะกลับออกจากเขา ทุกคนซมซานหนีไปได้หมด ยกเว้นรพินทร์กับดารินที่ยังไม่สามารถข้ามไปได้ และข้ามไปไม่ได้ ที่เชิงเขานั่นเอง เจ้าตัวลูกคนป่าปล่อยหมาในที่เลี้ยงไว้ให้มาโจมตีรพินทร์ แต่ทั้งสองคนก็สามารถต้านไว้ได้ โดยความช่วยเหลือนำทางของวิญญาณผีตองเหลืองที่มาช่วยไว้ได้ แต่ปรากฏว่ารพินทร์เป็นไข้มาลาเลียกำเริบ แต่อยู่ในความดูแลของดารินแม้ว่าไข้ขึ้น แต่รพินทร์ก็พยายามช่วยดารินเท่าที่จะทำได้ นอกจากตอนที่ไม่รู้ตัวจริง ๆ ตอนนั้นวิญญาณนางเที๊ยะมาช่วยเตือนอันตรายทำให้ดารินสามารถฆ่าสางเขียวที่พยายามจะบุกเข้ามาทำร้ายตายเกือบหมด เหลือแต่เจ้าลูในสภาพแสนทุเรศ ที่ดารินมัวแต่ตะลึงจนเจ้าลูคว่ำไปด้วยปืนในมือของรพินทร์ที่ฟื้นไข้ขึ้นมาช่วยได้ทัน ดารินดีใจ ทั้งสองอยู่ในวงแขนของกันและกัน จนรู้สึกถึงฐานะ และภาวะจึงแยกจากกัน และเตรียมตัวสู้เพื่อเอาตัวรอดกลับไปพบทีม  ระหว่างรอทีมดารินอดไม่ได้ถามเรื่องที่สงสัยตลอดมาคือความสัมพันธ์ระหว่างรพินทร์กับมาเรีย เพราะคืนหนึ่งหล่อนเห็นมาเรียกับรพินทร์อยู่ด้วยกัน เหมือนมีการยื้อยุดฉุดกระชากอะไรกัน ซึ่งรพินทร์เล่าให้ฟังว่าคืนนั้นมาเรียคุยอยู่กับแงซายก่อน และพอเขาเข้าไป เป็นจังหวะที่มาเรียต้องการคุยส่วนตัวกับเขา คือโกหกดารินว่ามาเรียดูถูกเรื่องการรับจ้างคณะเชษฐา แต่ไม่รับจ้าง ดร.ฮอฟมัน แต่จริง แล้วมาเรียหาว่ารพินทร์ได้กับดารินแล้ว ดารินไม่ติดใจสงสัยอะไรอีก ได้แต่บอกว่าตอนนี้มาเรียเป็นอิสระแล้ว ไม่น่ามีปัญหาอะไร ข้างฝ่ายเชษฐาหลังจากข้ามมาได้แล้ว และพบว่าสะพานไหม้หมดเป็นเหตุให้รพินทร์กับดารินติดอยู่อีกฝั่ง อีกทั้งไชยยันต์เองก็ร้อนใจอยากกลับไปช่วยพวกที่ยังข้ามมาไม่ได้ คืนนั้นแวซาย  กับพวกพรานก็ไต่เขากับมาอีกฝั่ง ซุ่มรอถล่มใกล้หมู่บ้านและเมื่อมองเห็นกันได้ ระหว่างที่ซูซูระดมพลอยู่ที่ลานนั้นเอง แงซายก็ซัดด้วยธนูระเบิด ซูซูแยกร่างหาซากไม่เจอ อวสานของสางเขียวก็จบลงในขณะทีสามารถตามหารพินทร์กับดารินได้
ระหว่างการเดินทางกลับค่าย ไชยยันต์ให้เสื้อแจ๊กเก็ตมาเรีย รพินทร์ให้รองเท้า ตาคำโดนปล้นถอดกางเกงให้มาเรีย ที่ค่ายพักมาเรียขอบคุณทุกคนที่ช่วยเหลือและขอโทษรพินทร์ที่ไม่เชื่อฟังจนเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงแทบเอาชีวิตไม่รอด คณะเชษฐา ชวนมาเรียให้ไปด้วยกันเพราะเป็นห่วงว่าจะมีอันตรายระหว่างทางกับเจ้าส่างปา สุดท้ายมาเรียเข้าใจเจตนาของทุกคนจึงตัดสินใจไปกับคณะเชษฐาโดยมีเจ้าส่างปาตามไปด้วย ดารินมีเพื่อนผู้หญิงแล้ว เชษฐาก็รักมาเรียแหมือนน้องสาว ส่วนไชยยันต์ก็ชอบ ๆ มาเรียอยู่ พอแงซายรู้ว่ามาเรียจะมาร่วมขบวนด้วยก็แสดงความเป็นห่วงรพินทร์เพราะรู้ว่าผู้หญิงจะทำเรื่องยุ่งมาให้ แต่รพินทร์ปฏิเสธความต้องการนายจ้างไม่ได้ ไปก็ไปด้วยกัน เขารู้ดีว่าเขาต้องระวังตัวให้มาก ไม่นานมาเรียก็จับสัญญาณได้ว่ารพินทร์หลงรักดารินเข้าแล้ว และก็รู้ว่าดารินเองก็รักรพินทร์เช่นกัน เพราะมีสมาชิกเพิ่มเลยมีการปรับอาวุธกันใหม่ระหว่างการลองปืน แงซายใช้ต้นตะเคียนเป็นเป้า เลยกลายเป็นเรื่องเพราะเท่ากับเป็นการลบหลู่นางไม้ ดารินเป็นคนที่มีจิตอ่อนสุดถูกนางตะเคียนสะกดไป รพินทร์กับเชษฐาต้องทำพิธีขอสมาลาโทษต่อนางตะเคียนเหตุการณ์ร้ายถึงยุติลงได้ ทั้งๆ ที่ก่อนเกิดเหตุร้ายตาคำแนะนำแล้วให้บอกเชษฐามาขอสมา แต่รพินทร์กลัวว่าเจ้านายที่มีการศึกษาจะเห็นเป็นเรื่องเหลวไหลเลยไม่ได้ทำอะไร จนเป็นเรื่องดังกล่าว
B9 รพินทร์ทักว่ามาเรียสวยขึ้นหลังจากที่ตัดผมสั้นเหมือนดาริน อาหารมื้อค่ำวันนั้นเหมือนดารินเป็นลมวูบไป ตาคำเตือนรพินทร์ว่าทำไมไม่จัดเวรยาม คืนนี้แปลก ๆ แต่รพินทร์ยืนยันให้ทุกคนพักผ่อน กลางดึกคืนนั้นลูกหาบทุกคนผลัดกันตื่นเพราะฝันร้ายเห็นเสือบ้าง เห็นงูใหญ่บ้าง ส่วนแงซายเองเห็นนางตะเคียน กับกองทัพผีมากันเต็มแค้มป์ เลยขออนุญาตรพินทร์ไปหานางตะเคียน แต่รพินทร์ไม่ยอมให้ออกนอกพื้นที่  จนเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ ลมแรงพัดถอนต้นไม้ใหญ่ เสียงกรีดร้อง รพินทร์ต้องเอาเครื่องรางของขลังที่หนานไพรเคยให้ไว้มาทำพิธี แล้วยิงสวนไป เหตุการณ์สงบลงได้ และทุกคนก็เริ่มรู้สึกว่าดารินหายไป ตามรอยได้ว่าไปอยู่ที่ต้นตะเคียนแต่สวยกว่าดาริน สั่งให้นายใหญ่ขอขมา และให้แงซายหลั่งเลือดสามหยดลงปฐพีสังเวยผี หลังจากที่ชาวคณะทำตามที่นางตะเคียนบอกแล้ว ก็คืนดารินให้คณะ เหตการณ์ปกติอีกครั้งหนึ่ง ในการเดินทางต่อไปค่อนข้างลำบาก ไชยยันต์ช่วยมาเรียจนตัวเองหัวแตก แต่เหตุการณ์ก็ผ่านไปได้อีก ตอนนี้ถึงทุ่งมรณะ (ตามที่มังมหานรธาระบุไว้ในแผนที่) ระหว่างการเดินทางไชยยันต์มีแผนที่ภูมิศาสตร์ รพินทร์มีแผนที่โบราณของมังมหานรธา และคำแปลจากเพื่อนพม่า หารือกันแล้วก็ได้ทางออกว่าจะไปกันต่ออย่างไร พักค่ายรอบนี้ส่างปากับคะหยิ่นวิ่งหน้าตาตื่นออกมาบอกว่าเจองูมหายักษ์ตัวขนาดเข้าไปที่หล่มช้าง ชาวคณะมาดู ปรากฏว่าเป็นแค่คราบของงูที่ลอกทิ้งไว้เท่านั้น  ช่วงนี้อาหารเริ่มน้อยลง แหล่งน้ำหายาก ถึงหาไม่พบ ดารินเริ่มกินค่างเพราะไม่มีอะไรจะกิน ตอนนี้ใครมีความสามารถมีประสบการณ์ทางไหนงัดออกมาใช้กันหมด เพราะภาชนะที่ต้ม ก็คือกระบอกไม้ไผ่ดี  ๆ นี่เอง การเดินทางลำบากเรื่อย ๆ  ที่ค่ายพักวันนี้พอเข้าพักได้ มาเรียบอกว่าจะไปหาอาหารไปกับส่างปา รพินทร์ไปกับตาคำ เดินทับรอยกันไปก่อน แล้วปรากฏว่ามาเรียไปปะทะกับเจ้ากระทิง แต่สุดท้ายมาเรียก็สามารถดับชีวิตเจ้ากระทิงดุได้สำเร็จ  คืนที่มาเรียร่วมพักแรมด้วยก็มีเรื่องประหลาดที่เชษฐากับรพินทร์ทำเป็นมองไม่เห็นเสียคือมาเรียนอนให้ส่างปานวด คลึง ดารินทนไม่ไหวเดินไปบอกว่าไม่เหมาะสมแต่มาเรียบอกว่าส่างปามีปัญหาพิการทางเพศไม่ได้คิดอะไร และคิดว่ามาเรียเป็นเหมือนแม่เขา ขณะเดียวกันมาเรียก็ย้อนถามดารินว่าผู้หญิงคนเดียวผู้ชายตั้งเป็นสิบไม่มีปัญหาบ้างเหรอ สำหรับรพินทร์ดารินบอกว่าเป็นสุภาพบุรุษทั้งกายและใจ ในขณะที่มาเรียยิ้มเยาะบอกว่าไม่เคยเจอโดนปล้ำจูบแบบเธอเหรอ ดารินคิดว่าถึงจะเคยก็ไม่บอก แต่คิดว่ามาเรียตอแหลอยู่ในใจ เพราะไว้ใจรพินทร์มากกว่าสิ่งที่รับรู้จากมาเรีย แต่ก็ไม่พอใจมาเรียเท่าไรนัก ดารินเข้านอนแบบอารมณ์ไม่ดี ในขณะที่คืนนั้นขณะที่รพินทร์เดินตรวจความเรียบร้อยอยู่ในที่พัก ก็มาเตือนมาเรียให้เข้านอนได้แล้ว แต่มาเรียถือโอกาสเล่าเรื่องที่คุยกับดารินตอนกลางวันให้รพินทร์ฟัง รพินทร์เลยนึกถึงเรื่องครั้งก่อนได้ว่ามาเรียหนีสามีที่นอนตอนบ่ายไปอาบน้ำ พอดีรพินทร์ไปตรวจสภาพพื้นที่และเห็นเข้า ก็พยายามจะถอยออกมา แต่มาเรียใช้ปืนขู่ให้รพินทร์นำเสื้อผ้าที่เธอถอดกองไว้มาให้ แต่ว่าไม่ทันไรมาเรียก็ผลุดลุกขึ้นยืนประจันหน้าเขา เขารู้สึกตัวว่าลืมตัวไปเพราะไม่เจอผู้หญิงมานาน แต่ก็รู้สึกตัวต่อมาว่าเขาทำผิดทำนองคลองธรรม พอถอดตัวออกมามาเรียคงโกรธสุดขีด ยิงหมวกเขากระเด็น สักพักใหญ่สามีของสาวมาเรียมาพบเข้า มาเรียบอกว่าอาบน้ำอยู่มีงูหลามมา รพินทร์เลยยิงงูก็เท่านั้น หลังจากนั้นรพินทร์ลาออกจากการเป็นพรานนำทางโดยไม่แจ้งเหตุผล มาเรียแยกจากรพินทร์ไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น อีกอย่างรพินทร์ย้ำว่าดารินใจกว้างพอจะไม่มาหยุมหยิมกับเรื่องแบบนี้ มาเรียรู้สึกผิดก็ขอโทษดารินที่ยังนอนไม่หลับ มาเรียหลับไปแล้ว แต่ดารินยังไม่หลับ
ดารินที่ปกติเป็นคนนอนไว้อยู่แล้ว ยิ่งมีมาเรียมานอนด้วยยิ่งตื่นบ่อยขึ้น คืนนี้ก็รู้สึกว่ามีตัวอะไรมาไต่จากเท้าขึ้นมาถึงเข่า ฉายไฟดูก็เห็นตัวประหลาดหน้าเท่าเด็กแต่ผิวหนัวเหี่ยวย่นเหมือนคนแก่ ขนรุงรัง ดารินร้องกรีดสุดเสียง เตะตัวประหลาดกระเด็นออกไป คว้าปืนยิงออกไปอย่างขวัญเสีย ทุกคนตกใจตื่น ตามหารอยก็ไม่พบ มองดารินงง ๆ เพราะดารินบอกว่าตัวเองเห็นจริง ไม่ได้ฝัน แต่มาเรียเห็นรอยที่หนองน้ำ ที่มีร่องรอยว่ายังกระเพื่อมอยู่และมีรอยเท้าเหมือนตีนนก  ขณะเดียวกันพวกพรานข้างบนก็โวยวายกันลั่นเพราะโดยเจ้ากองกอยบางกลุ่มยกพวกมาก่อกวน ได้แผลขูดข่วนกันทั่วหน้าแต่ไม่มีพิษ เพราะดารินตรวจเลือดแล้วบอกว่าไม่มีปัญหาอะไร ดารินให้มาเรียไปหยิบกล่องเวชภัณฑ์แต่มาเรียก็ไปเจอเจ้ากองกอยตัวนึงไส้ทะลักคว้าข้อมือไว้ ตาคำต้องมาคอยตะครุบตัวขณะที่ทุกคนคอยจ้องเผื่อตาคำพลาด และในที่สุดก็พบว่าเจ้ากองกอย ที่มีลูกตาโตเท่าไข่ใครมองจ้องจะมีอาการเหมือนโดนสะกดจิต ไม่เฉพาะแต่รพินทร์ที่รู้สึก มาเรียก็งง ๆ  แต่ที่ใครคาดไม่ถึงคือแงซายสามารถสื่อสารด้วยจิต กับสายตาของกองกอยได้ ความว่า อย่าทำเรา ช่วยด้วย  รพินทร์หงุดหงิดมากคิดว่าแงซายเล่นตลกอะไร แต่เชษฐาเตือนไว้ ให้ฟังสิ่งที่แงซายแกะรหัส ต่อไป ....เขาเป็นสิ่งที่ไม่ตาย มีการควักไส้ให้ดูด้วย ไม่มีเลือด แผลสมานได้เอง จนดารินเห็นแล้วจะเป็นลม ตรวจก็ไม่พบชีพจร บอกว่าต้องการความช่วยเหลือ โดยให้ไปที่นิทรานคร ที่หาเหตุก่อกวนเพราะต้องการให้ไปช่วยปลดปล่อยพวกเขาพ้นบ่วงกรรม ยิ่งกว่านั้น สิ่งที่รพินทร์ และเชษฐาได้ยินคือแงซาย พึมพำออกมาว่า มายาวิน คัมภีร์อุบาทว์ พันธุมวดี มันตรัยปุโรหิตพ่อมดร้าย หญิงสาวนอนในโลงใส ใต้โพรงมีกริชปักคัมภีร์.. ทั้งหมดแงซายบอกว่าตัวเองไม่รู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป  ตอนนี้พวกกองกอยมาบุกอีกแล้ว แต่ตัวที่อยู่กับพวกเชษฐา ส่งเสียงร้องบอก พวกที่จะเข้ามาโจมตีก็ถอยกลับไป เช้ามาปรากฏว่ากองกอยหายไปพร้อมกับแงซาย ซึ่งนอกจากนั้นรพินทร์พบที่หลังว่า จำเป็นต้องเปลี่ยนแผนจากเดิมคือปล่อยเจ้ากองกอยหายไปพร้อมกับแงซายโดยยังตามหาคนหายต่อไป แต่พอพบว่าแงซายเอาแผนที่ไปด้วย รพินทร์โกรธมาก ต้องเปลี่ยนแผนตามที่ดารินขอร้องโดยไม่ตั้งใจ ระหว่างทางจะเห็นร่องรอยแงซาย ไม่งั้นก็มีการหักกิ่งไม้ชี้ทาง คณะหาน้ำไม่ได้ ขุนพลนักรบที่มาสิงร่างแงซายก็มาบอกทางไปหาแหล่งน้ำ มาเรียเคยยิงหินใกล้แงซายแต่แงซายตอนนี้ไม่รู้ตัวเลยเพราะถูกวิญญาณของนักรบเข้าสิง เพื่อพาไปนครแห่งการหลับใหล  บางคืนชาวคณะรู้สึกว่าแงซายมาป้วนเปี้ยนใกล้ปางพัก ให้เส่ยกู่ก็ไม่มีเสียงตอบ แต่พอดารินตะโกนเรียกแงซาย กลับมีเสียงหัวเราะฟังน่าขนลุก บางทีมีเสียงตอบกลับมาว่า ต้องไปสู่ความพินาศ... ในนรกดำชาวคณะต้องตกใจอีกครั้งเมื่อพบตะขาบยักษ์ ตัวแรกที่คณะฆ่าได้ ดารินตรวจดูพบว่าไม่มีพิษ แต่อีกตัวที่โผล่เข้ามาและกัดไชยยันต์ถึงตาย พิษร้ายมาก

เพชรพระอุมา 3

การหลงทางยังดำเนินต่อไป คราวนี้รพินทร์นำทางหลงหนักไปกว่าเดิม จนดารินท้วงขึ้น แต่สุดท้ายกลับเข้าเส้นทางได้ถูก แต่ระหว่างทางดารินโดนงูรัด รพินทร์เข้าช่วยแต่โดนงูกัดที่ข้อมือลึกเข้าไปถึงเส้นเลือดดำ ดารินทำแผลให้ และเอาฟองน้ำจากเสื้อใน อุดเลือดให้ รพินทร์ซึ้งใจมากไปอีก สองคนไปดักรอจุดที่พวกกะเหรี่ยงออกมาตัดไม้และสร้างปางพัก มีของกินด้วย และสุดท้ายคณะใหญ่ เชษฐา  แงซาย เกิด พร้อมกับชาวบ้านก็ตามมาถึง ทุกคนยินดีที่ได้เจอกัน โต๊ะถะ เป็นกะเหรี่ยงนายบ้านที่มีปัญหาว่าเสือเข้ามากวนมากเหลือเกิน สุดท้ายรพินทร์รับปากจะช่วยโดยเดินส่องเสือ สังหารเสือได้หลายตัวจนคิดว่าหมู่บ้านปลอดภัย จึงออกเดินทางต่อ ช่วงนี้ทั้งสองคนตกหลุมรักกันแล้วแน่นอน บางคืนดารินนอนไม่หลับ ออกมาเคลิ้ม ๆ มาพิงอกรพินทร์เฉยเลย ทั้งหมดอยู่ในสายตาของแงซายด้วย คราวนี้รพินทร์มีปัญหากับแงซายเพราะแงซายบอกว่าพระธุดงค์มาขอบิณฑบาตชีวิตเจ้าแหว่ง ถ้าไม่เชื่อจะมีคนได้รับบาดเจ็บกันเพิ่ม รพินทร์โกรธมาก แต่เรื่องก็ยุติไปได้อีกครั้งเพราะดารินเข้าขวางไม่ให้รพินทร์มีเรื่องกับแงซาย เดินทางต่อผ่านดงทาก แต่ว่าได้น้ำมันละมั่งมาทากันทุกคน สถานีต่อไปผ่านดงจระเข้
B5 คราวนี้ใช้อุบายหาสัตว์ที่ตายมาโยนให้จระเข้ทึ้ง และคนเดินให้น้ำกระเพื่อนน้อยที่สุด ทุกคนสามารถข้ามมาได้อย่างปลอดภัย คืนนี้ระหว่างการผลัดกันอยู่เวรยาม เชษฐารับยามต่อจากไชยยันต์สองคนเห็นเหมือนกันเป็นผู้หญิง เปลือยอก เดินเข้ามาในแค้มป์ แต่รพินทร์ยิงทิ้งเสียเพราะว่าเป็นเสือสมิง วันต่อมาชาวคณะเดินทางหาแหล่งน้ำ แต่ระหว่างทางก็เจอพญาอสรพิษตัวใหญ่ยักษ์ ปราบได้เหมือนเดิม ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ แต่ทันใดนั้นก็ปะทะกับโขลงช้างอีก อีกกันหูดับปรากฏว่าฝ่ายลูกหาบตายไปสาม ตามที่แงซายเล่าถึงฝันทุกอย่าง ยังมีการโจมตีของช้างอีกอย่างต่อเนื่องเหมือนกับว่าช้างทุกป่าจะรวมกันหมดเพื่อโจมตีคณะรพินทร์ครั้งนี้ สู้ด้วยปืนไม่ได้ รพินทร์ตัดสินใจให้วางระเบิดสู้กับช้าง ระหว่างการรอคอยดารินไม่สามารถพักตาได้เหมือนเดิม เลยคุยกับไปเรื่อยเปื่อยกับรพินทร์ถึงได้ทราบว่าเขาเคยรักผู้หญิงคนนึง และผู้หญิงคนนั้นไปแต่งงานกับคนอื่น ทำให้เขาหัวใจสลาย ไม่คิดที่จะมีคนรักใหม่ พักกันได้ไม่นานคราวนี้เจอช้างตลบด้านหลัง รอบนี้เชษฐาโดนหินก้อนใหญ่ที่พวกช้างผลักลงมาทำให้ขาหัก ในขณะนี้ครั้งนี้ ต้องระเบิดพื้นที่เพื่อกำจัดโขลงช้างซึ่งช่วยให้การโจมตีครั้งนี้สิ้นสุดไปได้อีกครั้งพร้อมกับการสำรวจความเสียหาย พบว่าเชษฐาขาหัก ต้องผ่าตัดด่วน เพราะเสียเลือดมากเลยต้องหาเลือดด่วนพอดีแงซายมีเลือดกรุ๊ปประหลาดกรุ๊ปเดียวกับเชษฐาก็เลยสามารถให้เลือดได้ เชษฐาปลอดภัย พักฟื้น โดยมีดารินเฝ้าแค้มป์ ส่วนที่เหลือออกไล่ล่าเจ้าแหว่ง ก่อนออกเดินทางดารินแวะไปคุยกับรพินทร์และขอร้องให้กลับแค้มป์ภายในสามวัน เพราะไม่อยากให้หายไปนาน ตัวเองไม่สบายใจ คืนนั้นดารินเปลี่ยนผ้าพันแผลที่ข้อมือรพินทร์ที่หายดีแล้ว แต่ยังไม่ถอดฟองน้ำออก ดารินเปลี่ยนใหม่เป็นใช้ผ้าพันคอสีรุ้งสวยงามพันให้ใหม่ เพราะต้องอยู่นานแถมว่างดารินเลยทำปางพักให้น่าอยู่ขึ้นโดยมีตาเฒ่าบุญคำช่วยกับบรรดาลูกหาบช่วยกันปรับปรุงพื้นที่ ทำให้น่าอยู่สบายกว่าเดิมมาก รพินทร์หายไปหกคืน ระหว่างนั้นดารินทำความคุ้นเคยกับพื้นที่ปางพักทุกวัน และทำหน้าที่แทนรพินทร์ ในขณะที่บุญคำก็ทำหน้าที่แทนแงซาย ระหว่างอยู่ด้วยกันดารินหลอกถามประวัติของรพินทร์ รู้ว่าเคยรักกับหลานของคุณอำพล แต่โดนทิ้ง พอฝ่ายหญิงกลับมาคืนดีด้วย ก็ไม่ยอมคืนดี ดารินอยากรู้แสงโสมจะสวยขนาดไหน ความในใจดาริน เชษฐารับรู้ทั้งหมด และได้แต่เตือนว่าไม่ควรเผลอใจ หกวันผ่านไปรพินทร์กลับมาพร้อมกับบอกข่าวว่าเจอรอยว่าไอ้แหว่ง ย้อนกลับมาที่ปางพักนี้อีก แต่เพราะความแข็งแรงมั่นคงของปางพัก เลยยังทำอะไรไม่ได้ อาการของเชษฐาดีขึ้นทำให้ดารินขอร่วมขบวนล่าไอ้แห่วงด้วย โดยมีบุญคำอยู่ดูแล ช่วยเหลือเชษฐาที่อาการดีขึ้นมาก ก่อนการเดินทางดารินมีอากาสคุยกับรพินทร์ส่วนตัว บรรยากาศดีขึ้นมาก มาสะดุดตรงที่ดารินบอกว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่ต้องห่วงเธอ เพราะเธอไม่ใช่แสงโสม ทำให้รพินทร์หน้าตึงไม่พอใจขึ้นมา ดารินขอโทษที่ไม่ตั้งใจแซว รพินทร์ไม่ว่าอะไรได้แต่ผละไปเฉย ๆ ในการตามตัวไอ้แหว่งจากความเป็นช่างสังเกตของดาริน พบว่าช้างโขลงนี้ต้องไปแช่โคลนที่ไหนสักแห่ง ซึ่งทำให้สามารถดักล่าได้ง่ายกว่าที่จะตามไปเรื่อย ๆ รพินทร์เห็นด้วย คราวนี้คณะล่าไอ้แหว่ง 7 คนแบ่งเป็นสามสาย รพินทร์ไปกับดารินเหมือนเดิมและคลานลอดเถาวัลย์มุดเข้าไปอยู่กลางโขลงช้าง พอดีลมเปลี่ยนทิศ ทำให้ช้างรู้ตัว ตื่นกันขึ้นมา ระหว่างที่ช้างจะเข้าทำร้ายดาริน รพินทร์เข้าช่วยโดนช้างจับโยนไปหมดสติ แต่รู้ตัวอีกครั้งบนตักของดารินที่เล่าว่าเธอยิงเจ้าแหว่งได้แล้ว ไม่รู้ว่าโดนตรงไหน โชคดีที่รพินทร์โดนโยนตกไปบนเถาวัลย์ที่ช่วยรับน้ำหนักตัวเขาไว้ได้ เคล็ดนิดหน่อย ดารินไม่เป็นไรเลย เมื่อทุกคนมาสบทบกันได้ก็ตามรอยไอ้แหว่งไป จนไปถึงหน้าม่านน้ำตกโดยมีแงซายนำทางไปจนเจอว่าไอ้แหว่งยืนตายอยู่ในถ้ำ ดารินขออโหสิกรรมต่อซากเจ้าช้างใหญ่ อย่างไม่น่าเชื่อว่าหลังจากการอโหสิกรรมแล้ว ร่างช้างก็ทรุดลงเท่ากับว่ายอมอโหสิให้ แงซายขออนุญาตบอกว่าเขาขอโทษที่ไม่ได้บอกทางลับนี้ให้รพินทร์ทราบเมื่อคราวออกตามไอ้แหว่ง เพราะรู้ว่าไม่มีพรานคนไหนที่จะสังหารไอ้แหว่งได้นอกจากผู้หญิงคนเดียวในทีม และตอนนั้นดารินไม่ได้มาด้วย เกรงว่าถ้าบอกทางไปแล้วไม่ใครก็ใครในทีมจะต้องตายหากเจอกับไอ้แหว่งจึงไม่ได้บอกเรื่องทางลับนี้
B6 ขบวนผู้พิชิตไอ้แหว่งกลับถึงที่พักใกล้ค่ำ มีงานเลี้ยงกันหนุกหนานตามที่เกิดมากะลิ้มกะเหลี่ยไว้ สำหรับลูกหาบดารินคือเจ้าแม่ของพวกเขา ครั้งแรกคิดว่าบังเอิญที่ล้มมหิงสาได้ แต่ครั้งนี้สามารถล้มเจ้าแหว่งได้อีก ไม่ธรรมดาแล้ว คืนนั้นดารินรับรู้ว่ารพินทร์ใช้ก๊อซพันทับผ้าพันคอพัน เพราะกลัวผ้าที่ดารินให้จะสกปรก สำหรับซากของไอ้แหว่ง แงซายขอไว้เพราะเป็นสัตว์ที่มีความฉลาดผิดมนุษย์ ขอให้ทิ้งซากไว้อย่าไปยุ่ง เพราะขนาดตายยังไปยืนตายในถ้ำ ไม่ยอมตายแบบธรรมดา เชษฐายอมตามนั้น คณะพักต่ออีกนิดนึง และเดินทางไปหล่มช้างต่อเพราะเชษฐาเกรงว่าจะเสียเวลา เดินทางมาถึงพุเตย คณะสังเกตเห็นว่ารพินทร์อึดอัดใจ แทนคำตอบ ดารินรู้ว่าแงซายรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นั่นเพราะว่าที่พุเตย มีคนอยู่อาศัยแต่ลักษณะไร่ นา ผิดปกติไป ระหว่างการเดินทางหาแหล่งน้ำ ชาวคณะดีใจที่พบแหล่งน้ำ แต่ปรากฏว่ายังไม่ทันจะได้กินน้ำ ก็พบศพตายแห้งซากของหญิงสาวครึ่งตัวบน รพินทร์ขอเข้าไปดูในหมู่บ้าน เพราะผิดสังเกตมาก ไชยยันต์ของตามไปด้วยและพบว่าเป็นหมู่บ้านร้างซะแล้ว มีแต่ซากศพคนตาย ยิ่งกว่านั้นตอนที่จะกลับออกมายังหลงไปหลงมาจนรพินทร์ต้องใช้ไสยเวทย์เปิดทางถึงกลับเข้าที่พักไปรายงานให้คณะทราบ รายงานเสร็จ เดินผ่านแงซายรพินทร์ก็พลาดอีกที่ไม่ให้แงซายบอกเรื่องหมู่บ้านร้างกับลูกหาบ ในขณะที่แงซายเตือนว่าควรบอกให้รู้ ซึ่งเป็นที่ขัดใจรพินทร์มาก  คืนนั้นปรากฏว่าเส่ยที่ติดใจลูกสาวผาเอิง หัวหน้าหมู่บ้านหายเข้าหมู่บ้าน โดยจันบอกว่ามีสาวมารับ ไชยยันต์รู้ความดี ตกใจมาก รพินทร์ ดาริน ไชยยันต์ เกิด และจัน ต้องเข้าไปช่วยไว้ได้ทัน โดยมีหมอผีบุญคำช่วยไล่ผีให้ด้วย สุดท้ายทั้งหกคนช่วยกันเผาหมู่บ้านร้างเพื่อส่งวิญญาณ และนำตัวเส่ยที่หมดสติ ไข้ขึ้นกลับมารักษาตัว และเดินทางต่อ
รอบนี้ระหว่างการพัก ได้ยินเสียงดังซู่ ๆ รู้สึกเหมือนใครเคลื่อนซุง ทุกคนระวังระไวและชินกับอันตรายสารพัดรูปแบบที่มาไม่ซ้ำกัน คืนนั้นผ่านไปไม่มีอะไรเกิดขึ้น การเดินทางวันต่อมาระหว่างการเดินทางได้ยินเสียงผิดปกติแถมมีเสียงหญิงสาวกรีดร้อง ตามไปต้นเสียงพบเจ้ามุโดนหมู่ป่าขวิดไส้ทะลึก กะเหรี่ยงสาวต้นเสียงคือนางอั้วเป็นสาวคนรักของเจ้ามุ ผมยาวไปพันติดเขี้ยวหมูป่า เลยไม่ได้รับอันตรายอะไรมาก ช่วยชีวิตกันแล้วสอบถามได้ความว่าที่หมู่บ้านของคะหยิ่น ผู้พ่อที่เป็นนายบ้านหล่มช้าง มีปัญหาอาเพศ สัตว์เลี้ยงในหมู่บ้านหายไปไร้ร่องรอย พ่อ แม่ของนางอั้วเข้าป่าก็หายไป คะหยิ่นเห็นว่าคนบ้านนี้เป็นเสนียด เลยขับนางอั้วออกจากชุมชน แต่เจ้ามุที่ชอบพอกับนางอั้ว ทนไม่ได้เลยตามนางอั้วจนได้รับอันตราย ที่พวกรพินทร์ช่วยชีวิตไว้ได้ ก่อนเข้าหมู่บ้านหล่มช้าง แงซายเล่าว่าหมู่บ้านนี้คล้ายกับหมู่บ้านโจร ได้ข่าวมีมิชชันนารีสองคนโดนปล้น ฆ่าที่นี่ แบบว่าใจร้ายดารินโกรธให้ล้อมหมู่บ้านซะเลย แต่รพินทร์บอกว่าโหดมาก และขอเข้าไปในหมู่บ้านพร้อมเกิด จัน เส่ย หายไปพักนึงกลับออกมาพร้อมคะหยิ่น ที่ไชยยันต์เห็นเข้าแล้วบอกว่านี่มันองคุลีมาล อายุประมาณ 50  คะหยิ่นคนโตคุยเขื่องไม่กลัวใคร ขอเข้าไปดูเจ้ามุลูกชาย แต่ดารินกั้นไว้ ส่วนนางอั้วกลัวคะหยิ่นมาก คณะหยุดความยะโสของคะหยิ่นด้วยการให้ดารินแสดงฝีมือยิงปืนตัวขั้วผลมะขวิด สี่ลูก ในขณะที่คะหยิ่นที่บอกว่าแม่นมาก ทำให้แค่ยิงลูกมะขวิดแกว่งเท่านั้น ไม่พอดารินยังแสดงฝีมือยิงจานร่อน รพินทร์ก็ไม่เคยเห็นฝีมือดารินมาก่อน ไม่พอไชยยันต์ยังแสดงแสนยานุภาพยิงไม้ใหญ่ซะโค่น ทำให้คะหยิ่นมั่นใจว่าคณะนี้น่าจะปราบงูยักษ์จ้าวที่เข้ามาอาละวาดหมู่บ้านได้ วันนั้นเชษฐาให้ของกำนัลที่เตรียมมากับชาวหมู่บ้านมากมาย คะหยิ่นดีใจสุด ๆ และต้อนรับทีมอย่างดี ทุกคนสามารถเดินเล่นในหมู่บ้านได้อย่างสบายใจไม่เหมือนข่าวตอนแรกที่ได้ยินมาเลย เพราะว่าต้องพักที่นี่หลายวันรอให้เชษฐาหายดี คะหยิ่นเลยระดมคนมาปลูกที่พักในคณะเชษฐา และช่วยปราบงูยักษ์จ้าวตามที่รับปากไว้ ขณะเดียวกันดารินก็ให้การดูแลรักษาพยาบาลเจ้ามุ โดยมีนางอั้วเฝ้าอย่างใกล้ชิด ด้วยความวิตกเรื่องการสังหารงูยักษ์ ของรพินทร์ที่เปรยขึ้นมา แงซาย เสนอให้ใช้ระเบิดที่เตรียมมา และทำธนูเป็นตัวส่งระเบิด เหมือนที่เขาเคยปฏิบัติการมาก่อน น่าจะสังหารงูยักษ์พันปีได้ รพินทร์เห็นด้วยและแยกย้ายกันไปดำเนินการตามความถนัด ระหว่างการลองธนูคะหยิ่นหงายผลึ่งเพราะไม่รู้ฤทธิ์ระเบิด ทุกคนปล่อยให้รู้ฤทธิ์ จะได้เพิ่มความศักดิ์สิทธิ์ ตอนนี้นอกจากรพินทร์ที่คะหยิ่นเกรง ยังมีแม่มดคนสวยอีกคนที่คะหยิ่นปอด ไม่กล้าหือ ที่หล่มช้างรพินทร์มักจะไปคลุกอยู่ในหมู่บ้านไม่ออกมากินอาหารกับคณะ ดารินห้ามไม่ให้รพินทร์ไปคลุกในหมู่บ้านโดยอ้างเหตุผลว่ารพินทร์ไม่อยู่ ไม่ปลอดภัย แต่จริงๆ แล้วอยากอยู่ใกล้ชิดรพินทร์มากกว่า คืนนึงเจ้ามุไข้ขึ้น ดารินลุกขึ้นมาให้ยา นอนไม่หลับเดินออกไปเจอรพินทร์ ขวางกันจะขอผ้าพันคอคืน เพราะผ้าห่มอย่างดีที่ดารินเคยให้ รพินทร์ก็เอาไปกำนัลคะหยิ่นซะแล้ว รพินทร์ไม่ยอมคืนผ้า คืนนั้นรพินทร์ได้จูบดาริน ดารินก็เผลอใจรักรพินทร์เข้าเต็มที่ยอมให้รพินทร์จูบปาก เหตการณ์ทั้งหมดน่าจะมีแงซายคนเดียวที่รู้ เพื่อน และพี่ชายไม่ระแคะระคายเลย หรืออาจไม่ทำอะไรให้เป็นที่น่าสงสัย เพราะรพินทร์ไม่สังเกตเห็น กลัวอยู่เหมือนกันว่าดารินจะไปฟ้องพี่ชาย ค่ำคืนนี้อีกครั้งรพินทร์ไม่ไปกินอาหารกับเจ้านาย ดารินก็แปลกใจเพราะว่ารับปากเธอไว้แต่ไม่ยอมปฏิบัติ กลางคืนตาคำมาขอยาแก้ไข้อ้างว่าจะเอาไปให้เส่ย แต่ดารินตามไปดูถึงรู้ว่ารพินทร์จับไข้ตั้งแต่ค่ำ ก็ให้การรักษาไป และทราบเพิ่มเติมว่ารพินทร์ป่วยแบบนี้มาได้ 6-7 ปีแล้ว ระหว่างการดูแล รพินทร์เพ้อด้วยพิษไข้ถึงแสงโสม ว่าทำให้เขาหัวใจสลาย พอฟื้นไข้ รพินทร์ก็เห็นสิ่งที่หัวใจเรียรกร้องคือดารินอยู่ข้างเคียงเขา คุยกันว่าถ้าเขาเป็นอะไรไปฝากให้ช่วยดูแลแม่เขาด้วย เขาเป็นลูกจ้างเท่านั้น ในขณะที่ดารินก็ขัดใจไม่ให้รพินทร์พูดเรื่องลูกจ้าง นายจ้าง แยกจากกันด้วยคำแปลเนื้อเพลงที่แงซายร้องซึ่งมีความหมายว่าตอนกลางคืนมีแต่สิ่งดี ๆ แต่พอสายทุกอย่างก็หายไปเหมือนความรักที่เขาสองคนมีให้กัน สาย ๆ มาดารินเล่าว่ารพินทร์ที่หายไปตั้งแต่เช้า เมื่อคืนไข้ขึ้นเพราะเป็นมาลาเรีย เชษฐารู้เข้าก็ให้ไปตามตัวรพินทร์มาด่วน แต่ไม่ทันไร ทุกคนวิ่งกลับมาที่บ้านพักพร้อมกับข่าวร้ายว่างูยักษ์มาอีกแล้วคราวนี้จ้าละหวั่นกันตามเดิม เชษฐาแม้จะขาหักอยู่แต่สามารถยิงลูกตาเจ้างูยักษ์ได้ ที่เหลือเป็นการตามล่างูของคนอาการครบ 32 ที่ตามรอยเลือดงูไป
B7 ขณะที่รพินทร์ กำลังจะให้คะหยิ่น คลานไต่บ่อโคลน ก็เห็นกองเลือดปริมาณมาก นอกจากนั้นยังพบหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าเชษฐายิงโดนลูกตาเจ้างูยักษ์ด้วย  ทั้งหมดข้ามบ่อโคลนดูดได้อย่างทุลักทุเล รพินทร์อดไม่ได้ที่จะเห็นใจดารินอีกครั้ง ครั้งนี้ชาวคณะรู้สึกว่าต้องฝากชะตาไว้กับเจ้าคะหยิ่น กะเหรี่ยงขี้โม้ซะแล้ว ในการเดินทางอย่างยากลำบากช่วงนั้นดาริน ถึงกับหมดแรง หลับตา หน้าซีด คะหยิ่นก็สงสัยว่าเจ้าแม่ดารินหมดแรงซะแล้วหรือ แต่ปรากฎว่าดารินที่นอนหลับตาอยู่ระหว่างที่คณะกำลังหารือเรื่องการหาทางกำจัดเจ้างูยักษ์ ไม่น่าเชื่อว่าตำแหน่งที่ดารินนอนอยู่คือจุดที่เจ้างูยักษ์พักอยู่ด้านบน ทำให้เลือดหยดแหมะมาโดนดาริน และเป็นเหตุให้ทุกคนรู้ที่ซ่อนของสัตว์ร้ายและก็สามารถสังหารได้สำเร็จ ทั้งหมดอยู่ใต้ท้องงูยักษ์ สังหารด้วยธนูไนโตรฯ ได้ แต่ทุกคนก็จะเละไปด้วย รพินทร์ขอให้ทุกคนแยกไป ส่วนเขากับแงซายจะไปอีกทางเพื่อหาทางยิงธนูระเบิด ยังตกลงกันไม่ได้ คู่ของงูยักษ์มาอีกตัว รพินทร์ไม่ห่วงตัวที่เจ็บ แต่ห่วงตัวใหม่ที่พุ่งตรงไปที่คณะไชยยันต์ ทั้งสองจึงต้องวิ่งตามไปติด ๆ ดารินไม่รู้เรื่อง เสียสติไปแล้วด้วยความตกใจ ดีแต่ไชยยันต์ฉุดหลบเข้าไปในโพรงหิน เจ้างูยักษ์โผล่หัวกะจะจัดการมนุษย์น้อยสองคน รพินทร์กับแงซายตัดสินใจยิงธนูติดระเบิดที่กลางลำตัวก่อน พอระเบิดทำงานก็ซ้ำที่หัว ตายสนิทในขณะที่เจ้าตัวคู่ของมันเลื้อยปราดไปพันร่างงูที่ตายแล้ว รพินทร์จึงยิงซ้ำจนตายทั้งสองตัว ดารินยังไม่หายตกใจ อาการหนักสุด เสร็จงานนี้คะหยิ่นเอาเกล็ดพญานาคกลับหมู่บ้าน เจ้ามุกับนางอั้ว ดีใจที่สามารถปราบสัตว์ร้ายลงได้ ดารินเลยถือโอกาสให้คะหยิ่น ยกโทษให้ลูกชาย และมอบตำแหน่งนายบ้านให้ลูกชาย และให้ทั้งสองอยู่กินด้วยกันในขณะที่ตัวเองขอตามไปรับใช้ดารินในป่าลึกต่อไป
เพราะเชษฐายังไม่แข็งแรงดี คณะนี้เลยต้องอยู่ที่หล่มช้าไปก่อน ขณะที่เจ้ามุก็อาการยังไม่ดีนัก แต่พวกลูกหาบที่มาจากหนองน้ำแห้ง ต้องแยกตัวกลับออกไปเพราะทุกคนมีห่วงอยู่ข้างหลัง ระหว่างการพักอยู่ที่หล่มช้าง คะหยิ่นให้ลูกเสือตัวน้อยกับดาริน ในขณะที่ดารินเข้ากับคนในหมู่บ้านหล่มช้างได้เป็นอย่างดี ไม่ได้ทุกที่ ทุกแห่ง เจ้าคะหยิ่นเนื่องจากตกลงว่าจะเข้าป่ากับคณะเชษฐาก็เลยได้ปืนใหม่ เจ้านี่บ้าปืนใหม่มาก ออกป่าทุกวันได้ส่วยมาส่งให้คณะนายจ้างทุกวันเหมือนกัน แต่คะเหยิ่นยังมีปัญหาเรื่องการเลือกใช้กระสุน เลยเอากระสุนยิงไก่ ไปยิงช้าง เกือบโดนช้างเหยียบตาย ส่วนไชยยันต์ก็เข้าป่ากับแงซายเป็นประจำและสร้างชื่อด้วยการล้มแรดตัวใหญ่ที่ชาวบ้านต้องการสังหาร สังหารช้างที่ชอบมากวนหล่มช้าง และอีกสารพัด ที่ไชยยันต์เรียนรู้จากแงซาย ก่อนออกเดินทางขณะที่รพินทร์คุยอยู่กับดาริน ก็ต้องชวนกันไปทำคลอดสาวหล่มช้าง พอทำคลอดสำเร็จดารินเลยต้องกลายเป็นแม่ยกของหนูน้อย เจ้าพลาย ไปอีก ก่อนการเดินทางดารินตัดผมใหม่ให้สั้น โดยคำแนะนำของรพินทร์ที่บอกให้เชษฐาลงมือตัดให้ดาริน ก็เก๋ไปอีกแบบ การเตรียมอุปกรณ์ภายใต้คำแนะนำของรพินทร์เพราะต้องใช้ลูกหาบน้อยลง ไม่สามารถบรรทุกเกวียนได้อีกแล้ว ทุกอย่างจึงต้องจัดเตรียมไปอย่างเหมาะเจาะ เลือกปืนที่มีประสิทธิภาพที่สุด จำนวนเท่ากับคนเดินทาง คันธนูไม้ แงซายเอาติดตัวไปด้วยแต่ทำเป็นคานหาม ก่อนออกเดินทางบุญคำจุดธูปขอเปิดป่า การเดินทางช่วงนี้เดิน ๆ และเดิน บางช่วงต้องไต่หน้าผา เพื่อไปสู่หัวแร้ง เข้าช่องเขาขาด ตัดป่าแดง และเข้านรกดำ ตามแผนที่ที่ได้มา  แต่พอมาซักถามกันระหว่างพักก็ได้ความว่าทางที่รพินทร์พาเดินไกลไป มีทางลัดแต่รพินทร์ไม่ได้ถาม แงซายเลยไม่กล้าบอก เพราะเห็นว่าตัวเองไม่ใช่พรานนำทาง รพินทร์เลยหงุดหงิดอีกรอบ และสั่งให้แงซายเดินนำทางไปบ้าง ระหว่างที่คณะกำลังตั้งแค้มป์ก็พบหลักฐานว่าน่าจะเป็นจุดที่อนุชากับหนานอิน เคยมาพักแรม คืนนี้เป็นคืนแรกที่ทุกคนนอนใกล้กัน รพินทร์โรยยากันแมลง อย่างที่ไม่เคยทำ ไม่มีการอยู่ยาม รพินทร์ให้ทุกคนพักผ่อน  อีกครั้งที่ดารินนอนไม่หลับพร้อมเลยคุยกันขึ้นมาว่าไม่คิดจะรักดารินบ้างเลยเหรอ ไชยยันต์ก็บอกว่าคิด แต่อายที่จะคิด และรู้ว่าดารินไม่ได้รักเขาเลย ดารินเข้าใจไชยยันต์ จูบลาไชยยันต์และหลับลงได้ รพินทร์ก็ไม่หลับเลยได้ยินที่ทั้งสองคุยกัน ลุกออกมานั่งผิงไฟ ดารินก็ตื่นออกมาเหมือนกัน มีปากเสียงกันนิดหน่อย เรื่องนายจ้างกับลูกจ้างรพินทร์เลยบอกว่าเดี๋ยวบีบคอให้ตายเลยพูดอยู่ได้นายจ้าง ลูกจ้าง ดารินเผลอตัวตบรพินทร์ซะเลือดกลบปาก และนั่งเสียใจร้องไห้ ทำอะไรไม่ถูก รพินทร์ไม่ให้เสียงดังและให้กลับไปนอน ดารินไม่ยอมไป ร้องไห้ออกมา และได้แต่บอกว่าไม่น่ามาเจอรพินทร์เลย รพินทร์เลยเป็นฝ่ายกลับไปนอนเอง แงซายมาอยู่เป็นเพื่อนดาริน ดารินให้ไปฆ่ารพินทร์ให้ตาย แต่พอแงซายไปจริง ๆ ดารินก็บอกว่าพูดเล่นกลัวแงซายจะฆ่ารพินทร์จริง ๆ แต่จริง ๆ แงซายย่องไปหารพินทร์ แต่ไปบอกว่ามดขนไข่  และพนันว่าดารินชอบผู้กองแล้ว  รพินทร์บอกให้ดูแลดารินให้ดี อย่าหลับซะก่อน คืนนั้นฝนตกจริง และน่าตกใจที่ตาคำพบว่ามีรอยเท้าคนป่ามาแอบดูพวกเขา มากัน 6-7 คน ดารินนึกขึ้นได้เรียกแงซายมาดู แงซายเห็นรอยก็ตกใจเพราะคิดว่ารู้ว่าต้องเป็นพวกสางเขียวแน่ พวกนี้เป็นคนป่าดุร้ายมาก มีลูกดอกอาบยาพิษเป็นอาวุธ แต่คะหยิ่นมียาแก้และมีการสาธิตการทำงานของยาถอนพิษให้ชาวคณะดูจนเกิดความมั่นใจ และรู้ว่าตอนนี้ออกพ้นเขตประเทศไทยมาอยู่ในถิ่นพม่าแล้ว ระหว่างทางคณะก็พบกับที่พักของมะราบรี (ตองเหลือง) ตาคำได้กลิ่นเลือด และคณะก็พบกับขวากของสางเขียว ที่มีรอยเลือดของมะราบรี ที่แงซายบอกนี่ก็เป็นเหตุให้รพินทร์แทบจะอัดแงซายอีกครั้ง รพินทร์พยายามหาทางเลี่ยงไม่อยากเจอพวกสางเขียว การพักกินกลางวันวันนั้นคณะฯ ได้พบหลักฐานอีกว่าอนุชาเคยมาพักอยู่เช่นกัน และใช้ถ่านเขียนกลอนไว้ที่ก้อนหิน คณะนายจ้างอ่านแล้วเศร้า คำกลอนลงวันที่ไว้ด้วยห่างจากวันที่ตามหาปีกับสี่เดือน ดารินถามเรื่องตอนที่แงซายตามมา ได้ข่าวเรื่องสางเขียวหรือเปล่าเพราะกลัวว่าอนุชาจะเจอมนุษย์กินคนพวกนี้เข้า ระหว่างการพัก รพินทร์แจ้งให้คณะนายจ้างทราบว่าตอนนี้มาถึงหัวแร้งแล้ว ยังไม่ทันไรได้ยินเสียงกรีดร้อง วิ่งกันไปที่ต้นเสียงก็พบมนุษย์กินคนทาหน้าขาว ผมยาวกระเซิง 10 ตัวกำลังกินเนื้อหญิงสาวเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายโดยการผ่าหน้าอก ควักหัวใจออกมากิน ฉีกร่างเหยื่อเป็นชิ้น ๆ เชษฐาทนไม่ไหวสั่งยิง ไม่ตายหมด มีเหลือรอดไปได้ 4-5 ตัว บริเวณนั้นมีตองเหลืองอีกตัวโดนจับขังในกระชุ คณะช่วยเหลือไว้ได้ จึงได้รับรู้ว่าลูกสาวตนโดยฆ่าตายแล้ว และแยกตัวไปด้วยความขอบคุณในความช่วยเหลือของทีมเชษฐา สางเขียวโดนเก็บไปอีกสองทีหลัง เพราะมาแอบดักยิงอีก และระหว่างการเดินป่าที่อันตรายนี้เอง คณะเชษฐาก็พบกับดร ฮอฟมัน มาเรีย และส่างปา กะเหรี่ยงขี้ลิง ที่มีความพิการทางเพศ แต่ซื่อสัตย์มาก แต่มักจะทำให้ทีม ดร,ฮอพมันหลงป่า จนมาพบกับคณะของรพินทร์ ทีมของส่างปาไม่รู้ว่ากำลังอยู่ในพื้นที่อันตราย ซึ่งทันทีที่พบรพินทร์ก็แสดงความอึดอัดใจออกมา เพราะมาเรียเป็นฝรั่งเศสที่ ไม่แคร์เรื่องเพศ ชอบเอาชนะคนอื่น และเคยพยายามที่จะจัดการกับรพินทร์ แต่รพินทร์ไม่เอาด้วย และวันที่เกิดปัญหารพินทร์ก็ขอยกเลิกการรับจ้างกับ ดร.ฮอฟมัน โดยไม่แจ้งเหตุผล แต่ตอนนี้มาเจอทีมนี้หลงป่าอยู่ ประกอบกับอยู่ในช่วงเวลาของการหนีพวกมนุษย์กินคน วันที่เกิดเหตุเป็นวันที่คณะของรพินทร์เตือนทีมดร,ฮอฟมันแล้วว่าอย่าไปอาบน้ำนาน แต่ดร. ไม่เชื่อจนในที่สุดพวกมนุษย์กินคนมาจับตัวมาเรียไป และสังหาร ดร.ฮอฟมัน ก่อนตาย ดร.ฮอฟมันได้ขอร้องให้รพินทร์ไปตามตัวมาเรียกลับมาให้ได้ สางเขียวเข้าโจมตีกลุ่มรพินทร์ตลอด จนรพินทร์ต้องใช้ธนูระเบิดยับยั้งการโจมตีของสางเขียวจนซาการบุกลงบ้าง คณะมีความเห็นพ้องกันว่ามาเรียน่าจะยังมีชีวิตอยู่ จึงตกลงใจหยุดเรื่องการตามหาคนหายแต่ไปตามหามาเรีย ระหว่างการเตรียมการเข้าช่วยสางเขียว ทุกคนนอนเอาแรง ปรากฏว่ามีสัญญาณจากเจ้าตองเหลืองเกอะที่รอดตายมาบอกทางว่าพวกสางเขียวที่มีลูกหัวหน้าเผ่า เตรียมรมไฟวางยาคณะรพินทร์ ซึ่งแงซายก็มีทางแก้ให้ทุกคนทาว่านป้องกัน ตกดึกคืนนั้นสางเขียวโดยการนำของเจ้าลู ลูกชายหัวหน้าเผ่าซูซู คิดว่าการมควันทำให้ทุกคนหมดสติหมดแล้ว ย่องมาดูดาริน สาวผมดำที่อินคาบอกว่าจะเป็นสมบัติของเขา เตรียมเงื้อมีดแทงเชษฐา ทันใดนั้นเอง รพินทร์ก็สั่งฆ่ามัน ทุกคนลุกขึ้นสู้โดยสางเขียวไม่ทันรู้ตัว ทุกตัวที่เข้ามาในที่พักตายหมด เว้นเจ้าลู ที่โดนจับและทรมานจนสารภาพความจริง และเป็นตัวนำเพื่อกลับไปที่หมู่บ้านชนเผ่าเพื่อไปช่วยมาเรีย   มีเจ้าเกอะช่วยและวิญญาณผีตองเหลืองที่เป็นตัวลูกสาวที่โดนมนุษย์กินคนฆ่าตายมาช่วยเหลือ เป็นระยะ ตามสมควร จนไปถึงจุดที่มุมบา หมอผีของชุมชน กำลังทำพิธีกรรมอุบาทว์อะไรสักอย่างกับมาเรีย ตอนนั้นรพินทร์ประกาศแลกตัวประกัน ซูซูยอมแต่ มุมบาหมอผีไม่ยอม บังเอิญเจ้าลูสามารถหลุดพ้นจากการคุมตัวของคะหยิ่น แถมตัวคุมยังโดนดีถีบตกหน้าผา ซึ่งรพินทร์ดึงแขนไว้ได้ทัน แงซายจะยิงเจ้าลูทิ้งก็ทำไม่ได้เพราะต้องช่วยรพินทร์ก่อน ทำให้เหตุการณ์ตาลปัตรไปหมด