วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เพชรพระอุมา 13

B21 เช้านี้เดินทางกลางหิมะ ทุกคนได้รับยาบุญคำแจก เว้นมาเรีย ระหว่างทางดารินให้รพินทร์ช่วยมาเรียมากขึ้น จนรพินทร์ถามว่าจะให้ทำไง และบอกว่าเมย์ไม่เป็นไร แต่ขัดใจดารินไม่ได้ก็เดินไปช่วยพยุงมาเรียอีกข้าง และบอกว่าถ้าไม่ไหวก็ให้กินยาร้อนของบุญคำ มาเรียยืนยันว่าไหว สุดท้ายทุกคนก็ไปถึงปลายทางได้โดยปลอดภัย เมื่อถึงที่หมายไชยันต์ไปขอโทษรพินทร์ที่พาเดินท่ามกลางหิมะที่ทำให้เมียแหม่มของเขาเกือบเป็นตะคริวแข็งตาย รพินทร์ชวนไชยันต์ไปดูเนินพระจันทร์ มั่นใจแล้วให้คนอื่นตามไป ความหวังของทุกคนใกล้เข้ามาอีกครั้ง

ไม่น่าเชื่อว่าในทีมมีหมอยาอีกคน ที่สามารถแก้ไขโรคข้อได้  โดยที่ไม่ได้ทำให้ความเจ็บป่วยของดารินต้องทำให้เสียแผนการเดินทาง หมอคนนี้คือแงซายนั่นเอง แต่ให้บอกว่าเป็นยาของรพินทร์ ที่ต้องถอดเสื้อผ้านวดยา นวดครั้งเดียวดารินก็หายเป็นแทบปกติเหมือนปาฏิหาริย์ เหมือนที่รพินทน์คิดไว้ ว่ายังไงก็ต้องไปตามหาคนหายได้แน่นอน เขาเชื่อมั่นมาก เหมือนที่ดารินเองก็เคยบอกว่าเธอเชื่อมั่นมากขึ้นว่าจะสามารถติดตามจนพบพี่ชาย ยิ่งเมย์มีเด็ก ยิ่งมั่นใจได้ว่าทุกอย่างจะไม่มีอุปสรรค การเดินทางผ่านไปไม่มีอุปสรรคใด ๆ และมาถึงเนินพระจันทร์แล้ว แต่ในการพูดคุยหาจุดจริง ๆ ที่ผู้เขียนแผนที่เรียกไว้ เมย์กับมีความคิดว่าทำไมไม่คิดว่าเป็นจุดอื่น เชษฐาเองก็ไม่แน่ใจ รพินทร์เลยพาเดินไปดูที่อื่น มีดารินคนเดียวที่สังเกตว่าแงซายกับส่างปาไม่ตามไปบอกว่าจะนั่งเฝ้าของ  พอไปถึงจุดที่คิดว่าน่าจะเป็นจุดรอเห็นปิ่นพระศิวะตามกำหนด แต่ไม่เห็น คณะก็เลยกลับมาทบทวนและสรุปว่าจุดที่ถูกต้องที่จะเป็นจุดสังเกตคือจุดที่แงซายรออยู่ แต่พอกลับไปกลับเป็นว่ารพินทร์ก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่ยังพาไปจุดที่ไม่ใช่ จะมาว่าเขาคนเดียวไม่ได้ ทั้งคณะงงพฤติกรรมของสองคนนี้
ที่เนินพระจันทร์คืนนี้รพินทร์ป่วย ต้องกินยา แต่ไม่วายเตือนว่าให้แงซายดูแลความเรียบร้อยให้ดี แล้วก็หลับยาว ทุกคนหลับสบาย แต่แงซายรายงานว่าตอนดึกดารินมาห่มผ้าให้รพินทร์ แต่รพินทร์หาว่าทะลึ่ง ให้รายงานสิ่งที่เกิดขึ้นให้เขารู้ด้วย แงซายก็บอกว่ามีเสียงฝูงหมาเห่าหอน น่าจะมีจำนวนมาก วันนั้นแงซายเปลี่ยนจากปืนเป็นธนู ดารินสังเกตเห็นและบอกต่อ ๆ ไปกับพี่ชายและเพื่อนว่าต้องมีอะไรผิดสังเกต จริงวันนั้นต้องยิงธนูระเบิดช่วยบุญคำไว้ ไชยันต์เองก็แย่ โดนหมากัดหลายแผล เพราะพวกเขาแยกย้ายกันตามหาหลักฐานของคนหาย แล้วมารวมตัวกัน แต่ไม่มีใครเป็นอะไรมากนัก สำหรับที่พักวันต่อมา เชษฐากับดารินเห็นเงาวูบวาบก็บอกรพินทร์  ดึกอีกหน่อยดารินคิดว่าคนอื่นหลับหมดแล้วยิ่งไม่สบายใจ แต่รพินทร์ยังไม่หลับ มาอีกแล้วดารินเห็นชัด ๆ แต่ยังไม่ทันไรได้ยินเสียงพรานกับพี่ชายบอกว่าอย่าขยับ สุดท้ายไม่มีไร บุญคำพาไปดูพบว่าเงาที่เห็นเหมือนกับเป็นวิญญาณจากว่านผีปอบ เท่านั้นที่แกสะกดไว้ได้ ดารินเป็นห่วงแงซายที่เฝ้ายามอยู่ แต่พอไปตามด้วยความเป็นห่วงปรากฎว่าแงซายรู้รายละเอียดเรื่องว่านผีปอบดี รพินทร์เลยบอกว่านี่เป็นการลองดีอีกครั้งของแงซายว่าเขาจะมีความสามารถในการแก้ปัญหาได้อย่างไร ดารินเบื่อสองคนนี้มาก คืนนี้เป็นคืนวันก่อนห้าค่ำ เดือนสิบสอง แงซายไปรอดูปรากฎการณ์ เพื่อเตรียมรับวันจริง รพินทร์ก็ไปดูด้วย
แต่วันนี้เป็นวันจริง หิมะตกทุกคนหนาว และรอเวลา จนหลับไปเป็นคน ๆ รพินทร์ เฝ้าอยู่จนหมดหวังเพราะพระจันทร์กำลังจะลับขอบฟ้า ด้วยจิตใจที่หดหู่ ดารินก็มาเป็นกำลังใจให้ จนรพินทร์มีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง หันไปดูไม่เห็นแงซายเลยไปตามหาและไปเห็นปิ่นพระศิวะ ดารินร้องตะโกนบอกทุกคนเชษฐางัวเงียตื่นมาเห็นดีใจมาก แงซายพนมมือขอพร เสี่ยงบุญ ขอให้เห็นเส้นทางเดิน พลันเสียงครืนถันพระอุมาก็ปรากฏ รพินทร์ให้ไชยันต์ลากเส้นเพื่อเตรียมเดินทางก่อนที่ปรากฎการณ์ที่เห็นจะหายไปและไปไม่ถูก ทุกอย่างทำอย่างมีประสิทธิภาพ การเดินทางที่พร้อมอยู่แล้ว ออกเดินทางทันที เมื่อได้เวลาพักแรม อยู่ไม่อยู่คืนนี้ดารินฝันประหลาด ตะโกนเรียกชื่อรพินทร์ทุกคนตกใจตื่นกันหมด ช่วยกันปลุกดาริน ดารินก็รู้ตัวว่าคงฝันไป เพราะในฝันตัวเองก็เรียกรพินทร์อยู่เหมือนกัน ไม่มีใครสนใจดารินเลย แต่ดารินกลับบอกว่าเธอฝันเห็นคนแก่ มาบอกว่าเป็นเจ้าของลายแทง เท่านั้นละ ทุกคนเลยเดินเข้าไปในโพรงหินที่ลึกเข้าไปตามที่ดารินบอกและพบโครงกระดูกที่เข้าใจว่าน่าจะเป็นท่านเจ้าของลายแทงนั่นเอง ที่เสียชีวิต และลูกน้องมาเจอนำเอาลายแทงนี้กลับไป และในที่สุดก็ตกอยู่ในมือรพินทร์นั่นเอง
B22 ก่อนออกเดินทางทุกคนเคารพ บอกอำลาท่านเจ้าของแผนที่ลายแทง ดารินขอตัวเป็นหมอวิเศษจ่ายยาดีให้ทุกคนบ้าง คคคได้รับก็งงบอกว่าตัวเองไม่เห็นเป็นไร ทำไมต้องกินยา รอบนี้เป็นยารักษาอาการหิว เพราะถึงเวลาแล้วที่ไม่มีอาหารจริง ๆ รพินทร์ชื่นชมความรอบคอบของดารินอีกครั้ง ไม่นานรพินทร์ไต่ขึ้นถนนสายที่จะไปมรกตนคร ทุกคนตามขึ้นไป (จากถนนนี้อีกเดินอีกสามวันถึงมรกตนคร) ไชยันต์คิดว่าถ้าไม่กลัวคนอื่นว่าบ้าจะยิงสลุตซะหน่อย ถึงหัวถนนเชษฐาได้แต่กอดรพินทร์แน่นพูดไม่ออกนอกจากว่าจะไปตามเก็บกระดูกน้อง เพราะมานานแล้วไม่กลับ มีเหตุเดียวคือตายแต่รพินทร์ตอบอย่างมั่นใจว่าเชื่อว่ายังมีชีวิตอยู่จากหลักฐานที่พบเป็นระยะทั้งหมด พอดูนาฬิกา เชษฐาก็พบว่านาฬิกาไม่เดิน เครื่องมือทุกชนิดที่เป็นอิเลคทรอนิคส์ที่มีอยู่ หยุดสนิท แต่ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร จริง ๆ แล้วจากโลกที่พวกเขาก้าวออกมาจะเป็นช่วงบ่าย แต่เมื่อรพินทร์เดินมาคู่กับแงซายด้านหน้า แงซายกล่าวว่ามรกตนครยินดีต้อนรับ และบอกว่าตอนนี้เวลาที่มรกตนครคือสามโมงเช้า (หลวงปู่มาบอกเมื่อคืนนี้) ถ้าจะเดินทางจนมืดก็เดินกันไป ทุกคนเหนื่อยสุด ๆ และคิดว่าทำไมวันนี้นานจัง ต้องพักเรียกหาน้ำดื่มกันทุกคน มาเรียร้องให้ทุกคนดูเพราะเห็นพระอาทิตย์ตรงศีรษะ จริง ๆ ตอนนี้น่าจะเย็นแล้ว  ถามแงซายก็ไม่ได้คำตอบเรื่องเวลา (เพราะถือว่าได้บอกรพินทร์ไปแล้ว) แต่ดารินที่ไม่เคยโยมาก่อนบอกว่าไปต่อไม่ไหวขอพัก รพินทร์ขอให้เดินต่ออีกหน่อยมีที่พักที่มีลำธารข้างหน้า ช่วงพักย่างปลากินกัน แต่สักครู่ รพินทร์ที่คอยนับสมาชิกก็พบว่าแงซายหายไป แต่รู้สึกว่าง่วงมาก เลยงีบหลับไป ทุกคน แต่ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความประหลาด นอกจากแงซายหายไปแล้ว ปืนยาวและ ดินระเบิดทั้งหมดก็หายไปด้วย รพินทร์พบว่ามีการใช้ควันรมทำให้ทุกคนหมดสติ ถึงได้สามารถกวาดปืนยาว และระเบิดไปได้หมด แล้วรพินทร์ก็นึกได้ว่าตอนฝนตกใหญ่ที่หลุมอุกาบาตรที่เจอทอง แงซายบอกว่าใกล้เนินพระจันทร์แล้ว เขาอาจจะหายตัวไป เพื่อความปลอดภัยของทุกคน แต่เขาจะกลับมาและกำชับไม่ให้รพินทร์บอกใคร สรุปว่าแงซายหายไป แต่ไม่ควรเอาปืนของพวกเขาไป  คุยไม่ทันไรอยู่ไม่อยู่ได้ยินเสียงเป่าเขา เสียงม้าอย่างกับมีกองทัพอะไรสักอย่างจะเดินผ่านมา กองทัพจริง กองทัพของมรกตนคร นักรบที่กระโดดออกมาจากภาพเขียนโบราณ ทหารมีรูปพรรณสัณฐานร่างใหญ่ สีผิวเหมือนแงซายลูกหาบของคณะ แต่ เข้ามาควบคุมตัวทั้ง11 คนและถามหาคนที่ 12 เชษฐายืนยันว่ามี 11 คน คนที่นำทหารมาบอกว่าชื่อรหัสยะ เป็นอนุชาของเจ้ามรกตนคร  และมีอรชุนเป็นอำมาตย์ใหญ่พูดรู้เรื่องกว่า มาด้วย ตอนแรกพูดกันไม่รู้เรื่องแต่เชษฐาขอพรท่านฤาษีถ้ายังมีวาสนาขอให้มีสื่อกลางที่จะพูดกันได้รู้เรื่อง ทันในนั้นก็พูดกันรู้เรื่องใครจะพูดภาษาอะไร แต่คนที่คุยด้วยรู้เรื่องหมด ช่วงนี้ตกลงกันแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นจะลั่นกระสุนใส่เจ้าตัวแม่ทัพรหัสยะ รหัสยะเรียกพวกเชษฐาว่าเป็นพวกเสนียดกาลี ที่จะพาความพินาศมาสู่มรกตนคร ดารินยิงปลายหอกรหัสยะอย่างแม่นยำ และบอกว่ามาอย่างมิตรไม่ได้เป็นศัตรู และไม่คิดว่าจะฆ่าใครด้วย พวกนั้นกลัวแต่ยังไม่เท่าไร รพินทร์เลยยิงม้าของรหัสยะตายแหง ผ่านโล่ที่คิดว่าป้องกันอันตรายได้ของทหารมรกตนคร กองพันทั้งกองพัน ตกอยู่ในความหวาดกลัว แม้ว่าจะมีกำลังมากกว่า เชษฐาใช้ความเป็นหัวหน้าและอดีตนักการทูตเป็นตัวแทนเจรจา ว่าเป็นนักท่องเที่ยว หลงทางมากัน 11 คน เชษฐายอมให้กองทัพคุมตัวไปพบกษัตริย์ แต่ห้ามทำอันตรายพวกเขา พวกเขาไม่คิดหลบหนี ไม่ให้ยุ่งกับสัมภาระของพวกคณะนักเดินทาง การคุมตัวเข้ามรกตนครเป็นไปอย่างง่าย ๆ ซึ่งคณะของเชษฐารู้ต่อมาว่านอกจากมาควบคุมตัวคณะนักเดินทางชุดนี้แล้ว กองทหารยังมาทำลายหมู่บ้านที่เป็นแหล่งซ่องสุมของฝ่ายต่อต้านกษัตริย์ กองทหารของกษัตริย์ ฆ่าทั้งหมู่บ้าน ไม่เว้นเด็กและผู้หญิง จับชายฉกรรจ์ที่ดารินรับไม่ได้ ถึงตอนนี้รพินทร์ได้แต่บอกว่าแงซายน่าจะเอาอาวุธทั้หมดไป และน่าจะปรากฏตัวในวาระที่ถูกต้อง ระหว่างการควบคุมตัวที่ไม่เหมือนนักโทษเท่าไร เพราะอานุภาพของปืนที่ยิงทะลุโล่ ขนาดม้ายังตายทำให้อำนาจการต่อรองของคณะเชษฐามากขึ้น ระหว่างทางเดินที่พูดภาษาอะไรก็รู้เรื่องหมด มาเรียถามหาคนหาย ยังไม่ทันที่กุตะมะจะพูดอะไร รหัสยะก็แทรกขึ้นมา แถมสั่งให้ทหารยิงนกที่บินมา ธนูเสียบอกนกตายไปตัวเดียว เชษฐาบอกว่าเขาสามารถยิงนกตายมากกว่าหนึ่งตัว ให้ดารินแสดงให้ดู ดารินไม่กล้า โยนให้รพินทร์ รพินทร์ก็ไม่แน่ใจ แต่เชษฐาบอกว่าอัดลูกปืนใหม่แล้ว ให้ยิงเวลานกอยู่ใกล้กัน ผลงานของรพินทร์ไม่เคยผิดหวัง นกตกมาสองตัว พวกมรกตนครยิ่งเพิ่มความเกรงอาวุธของชาวคณะมากขึ้น รหัสยะเปรยขึ้นมาว่า คนที่ตามหา ซมซานมาเหมือนหนูอดโซ แค่คำ ๆ นี้ ทุกคนก็ดูมีความสุขขึ้นแล้ว ทุกคนพยายามหาข่าวต่อไป ตามแต่ใครจะมีโอกาสมากกว่าใคร ในขณะที่ฝ่ายมรกตนคร โดยกุตะมะก็พยายามหาข่าวคนที่ 12 ของคณะ  แต่รหัสยะบอกว่าเรื่องทั้งหมดจะรู้เองเมื่อถึงมรกตนคร กษัตริย์สิงหราจะเป็นคนบอกเอง เมื่อทุกคนเริ่มหิว ก็ขู่ว่าถ้าไม่หยุดพักให้กินอาหารจะยิงม้าเป็นอาหาร กองทหารเลยต้องยอมหยุดให้ และหาอาหารให้ชาวคณะ ที่เชษฐาบอกว่าเป็นอาหารของผู้เจริญแล้ว ชาวคณะทราบมาอีกอย่างว่าเป็นกฎของมรกตนคร จะสังหารคนแปลกหน้าที่เข้ามาในมรกตนคร ชาวคณะเลยสงสัยว่าทำไมชด ประชากร ถึงจะยังมีชีวิตอยู่ ขณะนั้นอยู่บนที่สูงเชษฐาสังเกตเห็นควันใช้กล้องส่องดูเห็นเหตุการณ์ว่ามีการปะทะกัน ระหว่างกองทหารอาวุธครบมือกับชาวบ้านที่ไม่มีอาวุธ การสังหารเป็นอย่างทารุณ พวกเชษฐาผ่านพื้นที่ที่มีการสังหารเห็นคนแก่ที่ยังไม่ตาย คนนึงขอน้ำ และพูดว่า แผ่นดินนี้กำลังจะพินาศ เพราะทรราช ในการปราบพวกทรยศต่อแผ่นดินจับคนหนุ่มฉกรรจ์ได้ 6-7 คน รวมเข้าอยู่ในกองทัพที่คุมตัวพวกเชษฐา เชษฐาบอกว่าเข้าใจแล้วว่าที่มรกตนครมีเรื่องภายในที่เขาไม่ต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยวทำให้รหัสยะพอใจในคำพูดของเชษฐา  ไชยันต์บอกว่าเป็นนักโทษเหมือนกันคุมตัวไปพร้อมกันก็แล้วกัน รพินทร์เห็นด้วยกับความคิดนี้ แต่เจ้าอ้วนรหัสยะ ไม่โง่ ดารินขอรักษาคนเจ็บที่เป็นนักโทษ รหัสยะก็ไม่ยอม และไม่เชื่อในความสามารถของดาริน จนกุตะมะบาดเจ็บจากการลอบจู่โจมของกองกำลังฝ่ายตรงข้าม ดารินจึงเข้าช่วยชีวิต กุตะมะ รอดชีวิตได้อย่างปลอดภัยทำให้ดารินได้รับสิทธิ์ต่าง ๆ เพิ่มขึ้นมากมายเป็นผลดีกับชาวคณะ ระหว่างทางเมยานีเข้าไปดูลาดเลาในที่พัก และเรียกดารินว่านายหญิง เป็นที่แปลกใจของทุกคน รอบนั้นเมยานีช่วยเหลือเชลยได้หมดทุกคน แต่ไม่ก่อนที่ดารินช่วยทำแผล (ระหว่างการทำแผลที่โดนพิษ ส่างปากับคะหยิ่นมาช่วยด้วย และสามารถสื่อสารกันได้ ยิ่งทำให้ดารินแปลกใจว่า ทุกคนคุยภาษาตัวเองแต่รู้เรื่องกันหมดอีกครั้งหนึ่ง ) รวมทั้งทำให้เชลยได้รับอาหารจากกองทหาร ทำให้ในเวลาต่อมาพวกเชลยพวกนี้ ซึ่งก็คือนักรบเดนตายของฝ่ายต่อต้าน ซาบซึ้งในมิตรภาพและความช่วยเหลือที่ดารินและคณะช่วยพวกเขาไว้  แถมดารินยังสามารถถ่วงการเดินทางให้ช้าออกไปได้ โดยอาศัยความเจ็บไข้ของกุตะมะ นั่นเอง จาการถ่วงเวลาช่วงที่ไปช่วยรักษาเชลย พวกเชษฐาก็รู้จักกับสุกรี รพินทร์วาบเลยพอรู้ชื่อกษัตริย์องค์ก่อนหน้าสิงหราช เพราะชื่อเดียวกับพ่อของแงซาย รพินทร์เลยถามถึงจักราชกับเกษราเทวี พรรคพวกงง พวกสุกรีเองก็งงว่าทำไมรพินทร์ถึงรู้เรื่อง รพินทร์ยังไม่เล่าอะไรให้พรรคพวกฟัง ปัดเป็นว่าให้เข้าที่พักของพวกเขาก่อนจะเล่าให้ฟัง รอบนี้สุกรีเล่าว่าเห็นคนแปลกถิ่นสองคนเข้ามาในมรกตนคร และถูกจับไป เห็นว่าไม่ได้ฆ่า เพื่อใช้ในการต่อรองอะไรบางอย่าง ตกค่ำหลังจากกินอาหารที่ตอนแรกกลัวว่าจะมีการวางยาพิษกัน ดารินเตรียมปืนออกไปดูพวกเชลย แกล้งร้องบอกว่าพวกพรานใครจะไปกับเธอบ้างทั้ง ๆ ที่รู้ว่ารพินทร์จะต้องออกไปเป็นเพื่อนเธอแน่นอน  ระหว่างทางรพินทร์เล่าเรื่องแงซายคือจักราชให้ดารินฟัง และก็เริ่มเดาเรื่องที่แงซายหายไปพร้อมปืนยาว และวัตถุระเบิด กลับจากไปดูความเรียบร้อยของพวกเชลย ตอนดึกดารินเข้าไปเยี่ยมไข้กุตะมะ โดยมีรพินทร์ตามไปด้วย ดารินพยายามพูดให้กุตะมะอยู่ข้างฝ่ายถูกต้อง ดูเหมือนดารินสังเกตได้ว่ากุตะมะมีอะไรในใจที่ไม่บอกออกมา แต่บอกว่าจะพยายามช่วยคณะอย่างดีที่สุดในฐานะที่เป็นที่ปรึกษาทางการทหาร ดารินยังรับทราบว่าคนแปลกหน้าสองคนที่ถูกจับตัวไปยังมีชีวิตอยู่ทั้งคนหนุ่มและคนแก่ แถมยังได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีอีกด้วย เฉพาะกลางคืนเท่านั้นที่จะอยู่ในคุก กลางวันสามารถขึ้นมาพักที่อุทยานได้ ทุกอย่างเป็นไปตามคำของแม่มดวาชิกา ที่หยั่งรู้เหตุการณ์ และเป็นคนที่แนะให้สิงหราชโค่นบังลังก์วิศนุพรมนาถ พ่อขอแงซายง  เยี่ยมไข้กุตะมะเสร็จก็พอดีเป็นช่วงที่เมยานีบุกค่าย นำเชลยทั้งหมดกลับออกไปได้โดยฝ่ายผู้บุกรุกตาย 20  รหัสยะรู้ว่ามีคนบุกรุกแต่พอถามกุตะมะว่าเห็นหน้าคนร้ายหรือไม่ ทั้ง ๆ ที่ดารินเห็นว่ากุตะมะเห็นแต่กลับตอบว่าไม่เห็นยิ่แงซายไปใหญ่ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ดีใจที่การปล้นเชลยทำสำเร็จ ในขณะที่ไชยันต์เองก็แปลกใจเพราะเห็นว่ารพินทร์จับตัวผู้บุกรุกได้แต่ปล่อยไป รพินทร์บอกว่าดูแล้วไม่มีอันตรายกับกุตะมะ และชาวคณะแถมยังเรียกดารินว่านายหญิงอีก คนที่เรียกดารินว่านายหญิง ได้แสดงว่าต้องเป็นคนที่รู้อะไรบางอย่าง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น